1. การนำคดีมาสู่ศาลแพ่ง
แบ่งออกเป็นคดีมีข้อพิพาท กับคดีไม่มีข้อพิพาท
2. สำหรับวันนี้เป็นการศึกษาคดีไม่มีข้อพิพาท
กรณีการตั้งผู้จัดการมรดก กับศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
3. การขอตั้งผู้จัดการมรดกจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายและการจัดการมรดกมีเหตุขัดข้องเป็นเหตุให้ผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกนำคดีมาสู่ศาลซึ่งคดีประเภทนี้เป็นคดีไม่มีข้อพิพาท
การนำเสนอศาลให้วินิจฉัยนั้นจะทำเป็นคำร้องขอ
4. มีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งผู้จัดการมรดกที่สำคัญประกอบไปด้วย
ป.พ.พ. มาตรา 1713 และ ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา ในการศึกษาวันนี้จะกล่าวเฉพาะส่วน ป.วิ.พ. เท่านั้น กล่าวคือ
4.1 ศาลที่จะยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก
ได้แก่ ศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย
4.2 ในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร
ให้เสนอคำร้องขอต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา
4.3 เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับพนักงานอัยการ
(ในชั้นนี้จะไม่มีการกล่าวถึงกฎหมายส่วนนี้)
5. ในทางปฏิบัติเมื่อมีการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
ศาลจะสั่งคำร้องในทำนองว่า “รับคำร้องขอ ประกาศนัดไต่สวน
ให้ผู้ร้องวางเงินค่าประกาศหนังสือพิมพ์ ภายใน........ วัน
นัดไต่สวนวันที่..........”
5.1 ในกรณีเจ้ามรดกมีทายาทหลายคน
อาจจะมีข้อโต้แย้งในเรื่องการจัดการมรดก หากเป็นกรณีเช่นนี้
ศาลมักจะใช้ดุลพินิจส่งสำเนาคำร้องขอให้ทายาททุกคนทราบวันนัดไต่สวน
5.2 สาระสำคัญของคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
จะต้องปรากฏว่า
(1) ผู้ร้องเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก
หรือ เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก
(2) มีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก
(3) ผู้ร้องขอมีคุณสมบัติตามกฎหมาย
6. ประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลในการร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกว่าจะนำไปยื่นที่ศาลใด
ให้พิจารณาศึกษาจากคำพิพากษาศาลฎีกาดังต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5912/2539
ป.พ.พ. มาตรา 37
ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา
แม้ผู้ตายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่จังหวัดพิจิตรและผู้ตายถึงแก่ความตายที่จังหวัดพิจิตรแต่ผู้ตายก็ได้อยู่กินเป็นสามีภริยากับผู้ร้องจนมีบุตรด้วยกันถึง4คนที่จังหวัดสมุทรปราการรวมทั้งผู้ตายได้ซื้อที่ดินไว้ที่จังหวัดสมุทรปราการแสดงว่าผู้ตายมีบ้านที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นสถานที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญอีกแห่งหนึ่งด้วยบ้านที่จังหวัดสมุทรปราการจึงเป็นภูมิลำเนาของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา37ดังนั้นผู้ร้องจึงมีสิทธิเสนอคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4จัตวา
คำพิพากษาฎีกาที่ 1448/2543
ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา,
27, 142 (5)
พระภิกษุ ก.
ได้มาซึ่งที่ดินในจังหวัดลำพูนในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศต่อมาพระภิกษุ ก.
ถึงแก่มรณภาพขณะที่พระภิกษุ ก. มีภูมิลำเนาอยู่ที่วัดในจังหวัดเชียงใหม่
โดยมิได้จำหน่ายที่ดินไปในระหว่างชีวิตหรือโดยพินัยกรรมการยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกรายนี้จึงต้องยื่นต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งเป็นศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตขณะถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 4 จัตวา
เมื่อผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้แต่งตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาลจังหวัดลำพูนการที่ศาลจังหวัดลำพูนรับคำร้องไว้พิจารณาและมีคำสั่ง
กับศาลอุทธรณ์ภาค 2พิจารณาอุทธรณ์ผู้ร้องและพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นการมิชอบปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 142(5) เป็นไม่รับคำร้องขอของผู้ร้องและให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งสามศาลแก่ผู้ร้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 661/2550
ป.พ.พ. มาตรา 38
ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา
พระภิกษุ พ. มีถิ่นที่อยู่ 2 แห่ง คือที่วัดหัวป่าและวัดผู้คัดค้าน ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 38 ให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของบุคคลนั้น
จึงต้องถือว่าวัดหัวป่าเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุเพิ่มแห่งหนึ่งด้วย
ผู้ร้องในฐานะเป็นพนักงานอัยการย่อมมีสิทธิร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาลชั้นต้น
ซึ่งเป็นศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตายตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 4 จัตวา วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาฎีกาที่ 8647/2544
ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา,
5
อ. ก. และ ป.
เจ้ามรดกทั้งสามรายมีทรัพย์สินอันเป็นมรดกร่วมกัน คือที่ดินน.ส. 3 ที่จังหวัดมหาสารคาม
ย่อมถือได้ว่าคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสามรายดังกล่าวมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันพอที่พิจารณารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 5 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของ อ. และ ก.
ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดมหาสารคามในขณะที่ถึงแก่ความตาย
ตามมาตรา 4 จัตวา และขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของ ป.
ซึ่งไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดมหาสารคามมาในคำร้องเดียวกันได้