7143/2546 (ญ) เป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยว่าการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ตามคำพิพากษาหรือตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นการได้มาโดยทางนิติกรรม นอกจากโจทก์จะเป็นผู้อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนแล้ว ยังวินิจฉัยไปอีกว่าเป็นการได้มาโดยทางนิติกรรม
เนื้อหาฎีกา กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกเป็นของ ส. ผู้ซื้อฝากนับแต่โจทก์กับ ส. ได้ทำสัญญาขายฝาก การที่ ส. จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยร่วม จำเลยร่วมจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยชอบ แต่การที่จำเลยร่วมฟ้องขับไล่โจทก์และได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง
ดังนี้ เมื่อโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยชำระเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยร่วมครบถ้วนแล้ว ที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์และเป็นการได้มาโดยทางนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่งแม้จะยังมิได้มีการจดทะเบียน ก็ไม่มีผลให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ทำให้ไม่บริบูรณ์ถึงขั้นเป็นทรัพยสิทธิ แต่ระหว่างคู่กรณีย่อมมีผลผูกพันต่อกันในฐานะเป็นบุคคลสิทธิ ทำให้โจทก์มีสิทธิเข้ายึดถือครอบครองใช้ยันจำเลยร่วมได้ และมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ด้วย เมื่อโจทก์ได้เข้าทำการปรับปรุงบริเวณที่ดินพิพาทตลอดมา เพื่อจะสร้างอาคารโรงเรียนขึ้นใหม่ในลักษณะแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของ การที่จำเลยเข้าไปปลูกเพิงอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าอาศัยสิทธิของจำเลยร่วมจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยร่วม
From: law...@googlegroups.com [mailto:law...@googlegroups.com] On Behalf Of Anon Nampa
Sent: Monday, August 31, 2009
10:47 AM
To: goobo...@yahoo.com;
law...@googlegroups.com
Subject: [LAWSIAM.COM:2545] Re:
Fw: [sirinatint] สรุปกฎหมายปกครอง สมัย58
ฎีกาที่ทำท่าเหมือนจะกลับ แต่ไม่ได้กลับ ผมว่าน่าสนใจดีนะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2512/2549 |
|
ป.พ.พ. มาตรา 1299
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จำเลยที่ 1 ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ ส. โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ส. ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ครั้นครบกำหนดจำเลยที่1 ไม่ใช้สิทธิไถ่คืน แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) มิใช่หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์บุคคลจะพึงมีสิทธิเหนือที่ดินพิพาทคงมีแต่สิทธิครอบครอง แม้โจทก์จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่การได้มาของโจทก์ก็เป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรมซึ่งถ้ายังมิได้จดทะเบียน โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1989 ต่อมาปี 2530 จำเลยที่ 1 ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นางสุข หงษ์ทอง โดยมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ นางสุขครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของเกิน 1 ปีแล้ว วันที่ 28 มกราคม 2536 นางสุขขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 10,000 บาท พร้อมทั้งส่งมอบการครอบครองแก่โจทก์ด้วยโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยปลูกบ้านเลขที่ 26 ยุ้งฉางข้าว ไม้ยืนต้น และล้อมรั้วกั้นเขตไว้โดยเจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งหรือรอนสิทธิเกินกว่า 1 ปี จนถึงปัจจุบัน จึงได้สิทธิครอบครอง เดือนกุมภาพันธ์ 2544 จำเลยที่ 2 แจ้งให้โจทก์ออกไปอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 เนื่องจากได้ซื้อฝากและล่วงเลยกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิจะนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทจึงเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนการขายฝากที่ดินพิพาทแล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1989 ตำบลหนองกุง อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า การซื้อที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับนางสุข หงษ์ทอง ไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ยังมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท นางสุขไม่มีอำนาจขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครอง การปลูกสร้างบ้านเลขที่ 26 ลงในที่ดินพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดินและเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยนิติกรรม จดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมายและโดยความสุจริตเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิโต้แย้งจำเลยที่ 2 ได้ ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์กับบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเลขที่ 26 และที่ดินพิพาทภายใน 30 วัน นับแต่คำพิพากษา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท เพราะจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่นางสุข นางสุขครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน 1 ปี จนกระทั่งนางสุขขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงครอบครองต่อมาด้วยเจตนาเป็นของตนเอง โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิที่จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทลงวันที่ 24 มีนาคม 2541 แล้ว ให้จำเลยที่ 1 โอนทางทะเบียนและส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1089 (ที่ถูก 1989) ตำบลหนองกุง อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมของจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท กับรื้อถอนบ้านเลขที่ 26 ออกจากที่ดินพิพาทภายใน 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จึงฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น ซึ่งการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1989 ตำบลหนองกุง กิ่งอำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งออกเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2521 ต่อมาจำเลยที่ 1 ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นางสุข หงษ์ทอง โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ วันที่ 28 มกราคม 2536 นางสุขขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 24 มีนาคม 2541 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ครั้นครบกำหนดจำเลยที่ 1 ไม่ใช้สิทธิไถ่คืน ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เพราะหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1989 มิใช่หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์บุคคลจะพึงมีสิทธิเหนือที่ดินพิพาทคงมีแต่สิทธิครอบครอง แม้โจทก์จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่การได้มาของโจทก์ก็เป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรมซึ่งถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
( เรวัตร อิศราภรณ์ - ศิริชัย จิระบุญศรี - ประทีป เฉลิมภัทรกุล )
............................................................................................................
กับ ฎ.6436/2550
วินิจฉยัว่า ...
การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดิน สค.1 ไปให้โจทก์และโจทก์เจ้าครอบครองทำประโยชน์แล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิที่จะนำที่ดินแปลงดังกล่าวไป
โอนขายให้จำเลยที่
2 อีก แม้จำเลยที่ 2 จะรับโอนและจดทะเบียนการได้มาแล้ว จำเลยที่ 2ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินดีไปกว่าโจทก์
ตามหลัก "ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน"
มีหมายเหตุท้ายฎีกาว่า
คดีนี้ จำเลยที่ 2
ไม่ได้ต่อศู้ตามมาตรา
1299 ว.2
ทำให้ไม่มีประเด้นดังกล่าวเป็นประเด็นข้อพิพาท
ศาลไม่อาจยกขึ้นเองได้
ทำให้คำพิพากษาทั้งสองฉบับมิได้ขัดกันแต่อย่างใด
จาก
น้องนนนี่
Date: Sun, 30 Aug 2009
18:35:07 -0700
From: goobo...@yahoo.com
Subject: [LAWSIAM.COM:2532] Fw: [sirinatint] สรุปกฎหมายปกครอง สมัย58
To: law...@googlegroups.com
ใกล้สอบแล้วมีข้อมูลอะไรดีๆ ส่งให้กันด้วยนะจ๊ะ .....
ขออภัยหากข้อมูลที่ส่งมานี้เป็นการรบกวน หรือข้อมูลซ้ำ เราได้จัดส่งข้อมูลจากการแลกเปลี่ยน จากเพื่อนๆในเมล์ที่สนใจ มาให้ท่าน ซึ่งเราจะจัดส่งให้เป็นระยะๆ หากเราได้รับข้อมูลดังกล่าว
"เมื่อท่านเริ่มต้นเป็นผู้ให้ แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ ท้ายสุดท้าย ท่านก็จะกลายเป็นผู้รับและผู้ให้ ต่อไปได้ .... แบบไม่มีที่สิ้นสุด"
ชุดต่อไป จะเข้มข้นขึ้น และจะได้สำหรับผู้แลกเปลี่ยนสรุป
เอกสารติวเนจากทุกสำนัก เก็งฎีกา เก็งรายข้อ คำบรรยาย (ทำเอง Forword
mail หรืออื่นๆ
ไงก็ได้) ซึ่งเราจะนำข้อมูลที่ได้จากเพื่อนๆ
ส่งต่อไปยังทุกคนที่ตอบกลับเมล์เพื่อแลกเปลี่ยนเท่านั้น
ย้ำ!! ครั้งต่อไป เราตอบเมล์กลับสำหรับผู้ที่ส่งเมล์มาแลกเปลี่ยนเท่านั้น
เพื่อเป็นการไม่เอาเปรียบและเป็นการต่างตอบแทน
ปล.
1. เพื่อนยืนยัน ความมีตัวตนอยู่จริงๆ และการมีส่วนร่วม และ จะไม่มีการนำข้อมูลไปโพสยังบอร์ดต่างๆ อย่างเด็ดขาด !!!!!!!! (ใกล้สอบแล้ว)
2. คนที่ได้รับเมล์แล้วไม่ต้องโพสเมล์ตัวเองในเว็บบอร์ด อีกนะ.... เดียวจะส่งข้อมูลซ้ำ
3. แนะนำข้อมูลให้เพื่อนๆ ร่วมแบ่งปัน ที่ goobo...@yahoo.com
ขอบคุณ
</html