จากนั้นผมก็ให้เด็กใส่หูฟังแล้วฟังเสียงเขย่ากล่องไม้ขีดจากคลิปนี้ครับ:
ครั้งแรกเด็กๆจะใส่หูฟังสองข้าง แล้วครั้งที่สองก็จะใส่หูฟังข้างเดียว เด็กๆจะสังเกตได้ว่าเมื่อใส่หูฟังสองข้างจะสามารถตรวจจับทิศทางว่าเสียงมาจากทางไหนได้แม่นยำกว่าเมื่อฟังข้างเดียว จากนั้นผมก็ให้เด็กๆหลับตา แล้วผมก็ไปที่ต่างๆในห้องแล้วทำเสียงให้เด็กๆหลับตาชี้ว่าผมอยู่ที่ไหน จากนั้นก็หลับตาแล้วอุดหูหนึ่งข้างแล้วชี้ใหม่ว่าผมอยู่ที่ไหน พบว่าเมื่ออุดหูหนึ่งข้างจะชี้ตำแหน่งของผมซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเสียงได้แม่นยำน้อยลงครับ
|
ฟังหูฟังสองข้าง |
|
ฟังหูฟังข้างเดียว |
สำหรับเด็กประถมปลาย ผมให้เด็กทดลองต่อปืนแม่เหล็ก (
Gaussian Gun) แบบต่างๆ (ผมได้บันทึกเรื่องปืนแม่เหล็กคืออะไรไว้ที่ "
ปืนของคุณเก๊าส์! (Gaussian Gun)" และ "
ทดลองเอาน้ำและน้ำมันพืชใส่เตาไมโครเวฟ และเริ่มทดลองเรื่องโมเมนตัม" แล้วนะครับ ถ้ายังไม่เคยเห็น ลองเข้าไปดูครับ)
ผมแจกลูกเหล็กขนาดต่างๆ แม่เหล็กลูกใหญ่และเล็ก และเม็ดพลาสติกกลมที่เป็นกระสุน BB โดยเราชั่งน้ำหนักลูกกลมต่างๆไว้ ซึ่งพบว่าเม็ดพลาสติกเบากว่าเหล็กหลายเท่ามาก น้ำหนักลูกเหล็กขนาด 3/8" คือ 3.5 กรัม น้ำหนักลูกเหล็กขนาด 1/4" คือ 1.05 กรัม น้ำหนักลูกเหล็กขนาด 3/16" คือ 0.5 กรัม และลูก BB คือ 0.12 กรัม
จากนั้นผมก็บอกวัตถุประสงค์ว่าเราจะดูกันว่าเรียงลูกกลมๆต่างๆอย่างไรแล้วจะวิ่งได้ไกลๆ และจะให้เล่นเกมยิงเป้าที่ทำจากชิ้นพลาสติกที่ใช่เล่นโดมิโนกัน
เด็กๆง่วนกันอยู่ประมาณ 40 นาทีแล้วเราก็ลองยิงไกลและยิงแม่นกันครับ
คลิปบรรยากาศตอนทดลองกันครับ:
สำหรับเด็กๆอนุบาลสาม ผมให้เล่นกลเกี่ยวกับร่างกายสามอย่างครับ บอกเด็กๆว่าให้ไปลองเล่นกับพ่อแม่ดูที่บ้าน
อันแรกเราเล่นขมวดมือกันครับ โดยเราเอามือสองข้างของเรามาม้วนรวมกันดังในคลิปครับ:
พอเราขมวดมือเสร็จ เราก็ให้เพื่อนเข้ามาชี้ว่าให้เราขยับนิ้วไหน โดยตอนที่ชี้ห้ามโดนนิ้วครับ จะพบว่าคนส่วนใหญ่จะขยับนิ้วไม่ค่อยถูกกัน สาเหตุก็เพราะว่าการตีความภาพที่ตาทำให้สมองกลับซ้ายขวากันเวลาสั่งให้นิ้วขยับ
กลที่สองคือกลนิ้วไส้กรอก โดยเราเหยียดแขนทั้งสองออกไปจนสุด แล้วหันเอานิ้วชี้เข้าหากัน แล้วเราก็มองผ่านเลยนิ้วชี้เราไปไกลๆ จากนั้นก็ขยับนิ้วชี้ออกจากกันช้าๆ แล้วเราก็จะเห็นก้อนอะไรสีเหมือนนิ้วเราลอยอยู่ระหว่างนิ้ว เหมือนมีไส้กรอกลอยอยู่
|
เอานิ้วจิ้มกันอย่างนี้ครับ เวลามองอย่ามองที่นิ้ว ให้มองผ่านนิ้วไปไกลๆ |
สาเหตุก็คือตาซ้ายกับตาขวามีบริเวณที่รับภาพทับซ้อนกัน เมื่อสมองพยายามแปลผลจากทั้งสองตาโดยที่ตาหนึ่งเห็นปลายนิ้วขณะที่อีกตาหนึ่งเห็นปล้องนิ้ว สมองจึงพยายามแปลผลจนเราเห็นเป็นไส้กรอกลอยอยู่ครับ
กลที่สามคือกลจับแบงค์ วิธีเล่นก็คือให้เด็กเอาแขนวางพาดบนโต๊ะหรือเก้าอี้ให้มือยื่นออกมาเตรียมจับแบงค์ที่ผมจะปล่อยให้ตกผ่านมือเด็ก พอผมปล่อยแบงค์เด็กๆก็จะต้องพยายามจับแบงค์ให้ได้ ซึ่งโดยปกติจะไม่สามารถจับได้ (สาเหตุที่เอาแขนไปพาดโต๊ะก็เพื่อป้องกันไม่ให้ขยับแขนลงไปคว้าแบงค์ที่ตกผ่านมือไปแล้วได้ครับ) ผมเล่าเรื่องให้เด็กๆฟังว่า เวลาเราจะจับแบงค์ ตาเราต้องมองดูแล้วเห็นว่าแบงค์ตก แล้วจึงส่งสัญญาณไปที่สมอง สมองต้องตัดสินใจว่าจะจับแบงค์แล้วส่งสัญญาณไปที่มือให้มือจับ สัญญาณเหล่านี้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่วิ่งไปตามเส้นประสาทของเราและมันใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าเวลาที่แบงค์ตกผ่านมือเราไป จากการทดลองจับไม้บรรทัดยาวๆแทนแบงค์พบว่าไม้บรรทัดจะตกลงไปได้กว่าฟุต ดังนั้นแบงค์ที่มีขนาดยาวไม่ถึงฟุตตก มือเราจึงจับไม่ทันครับ
|
จับกันอย่างนี้ครับ |
ต่อไปนี้คือบรรยากาศและบันทึกการเรียนรู้ของเด็กๆครับ อัลบั้มเต็มอยู่
ที่นี่นะครับ