หนุ่มนักศึกษารายนี้ต้องกลับมาเจรจากับโอเปอเรเตอร์ เพื่อขอลดหย่อนค่าบริการในส่วนที่ต้องชำระ ผลการเจรจาคือนักศึกษารายนี้ต้องผ่อนชำระค่าบริการกับบริษัทเป็นเวลา 3 ปี เดือนละราว 5,000 บาท ทั้งหมดนี้เรียกว่าภาวะบิลช็อก (Bill Shock) หรือการถูกเรียกเก็บค่าบริการในอัตราที่สูงจนน่าตกใจ ซึ่งเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของการใช้บริการข้ามแดนอัตโนมัติ (โรมมิ่งต่างประเทศ : International Roaming) ต้องยอมรับว่าพิษบิลช็อกจากบริการโรมมิ่งต่างประเทศเหล่านี้คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยในประเทศไทย น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เคยเปิดเผยว่า กสทช.ได้รับเรื่องร้องเรียนมากกว่า 118 กรณีตั้งแต่ปี 2552-2554 โดยมูลค่าค่าบริการที่มีการร้องเรียนทั้งหมดประมาณ 4,495,874 บาท นายวีรชัย พัชโรภาสวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริการระหว่างประเทศบริษัทเอไอเอส ย้ำว่า โอเปอเรเตอร์ไทยไม่ได้รับผลดีจากเหตุโรมมิ่งรั่วที่เกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่ ผู้เสียหายจะเข้ามาเจรจากับโอเปอเรเตอร์เพื่อขอลดหย่อนการชำระ ซึ่งเฉพาะเอไอเอสเองนั้นต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่โอเปอเรเตอร์ต่างชาติเรียกเก็บจน "เข้าเนื้อ" คิดเป็นหลักล้านบาทต่อเดือน โดยมูลค่าบิลช็อกสูงสุดที่บริษัทเคยพบจากบริการโรมมิ่งต่างประเทศนั้นอยู่ที่หลักแสนบาท การลดหย่อนนั้นไม่ได้ทำร้ายโอเปอเรเตอร์ฝ่ายเดียว แต่ผู้บริโภคตาดำๆ คือผู้ได้รับผลกระทบเต็มตัวจากบิลช็อคที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีสายสัมพันธ์ในการเจรจาที่ดีพอ | |||||
สหรัฐฯนั้นมองการแก้ปัญหาบิลช็อกทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้ว คณะกรรมการดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือเอฟซีซี (Federal Communications Commission) เริ่มกดดันให้โอเปอเรเตอร์สหรัฐฯเข้าร่วมโครงการส่งข้อความเตือนผู้บริโภคทางโทรศัพท์มือถือ เมื่อปริมาณข้อมูลและเวลาที่ใช้งานเริ่มเต็มเพดานแพกเกจที่ผู้ใช้สมัครไว้ หวังช่วยผู้ชื่นชอบการชมวิดีโอสตรีมมิ่งที่ไม่รู้ตัวว่าค่าใช้จ่ายมหาศาลกำลังรออยู่ มาตรการแก้ปัญหาบิลช็อกในสหรัฐฯจะพร้อมจุดพลุอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือกับโอเปอเรเตอร์ในสหรัฐฯจะได้รับข้อความเตือนทุกบริการทั้งวอยซ์ ดาต้า และโรมมิ่งต่างประเทศ ก่อนที่จะถูกเก็บค่าบริการเพิ่มจากที่ซื้อแพคเก็จไว้ เรื่องนี้ถือเป็นการเพิ่มงานให้กับโอเปอเรเตอร์ทุกค่าย เพราะในบรรดาโอเปอเรเตอร์ในสหรัฐฯ มีเพียงทีโมบายล์ (T-Mobile) เท่านั้นที่มีระบบส่งข้อความเตือนผู้ใช้ครบเกือบทุกบริการตามที่เอฟซีซีกำหนด ขณะที่เวอไรซอน (Verizon) นั้นส่งข้อความเตือนเฉพาะดาต้าและโรมมิ่งต่างประเทศ และเอทีแอนด์ทีนั้นเตือนเฉพาะลูกค้าบริการดาต้า และสปรินท์ (Sprint) นั้นเตือนเฉพาะบริการโรมมิ่งต่างประเทศ ซึ่งข้อมูลจากเอฟซีซีชี้ว่า ไม่มีโอเปอเรเตอร์รายย่อยในสหรัฐฯที่จัดทำระบบเตือนผู้บริโภค เหตุผลสำคัญที่เอฟซีซีต้องเร่งเครื่องสางปมบิลช็อก เป็นเพราะการสำรวจที่พบว่า 1 ใน 6 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนในสหรัฐฯล้วนเคยมีประสบการณ์บิลช็อก โดยมากกว่าครึ่งเคยถูกเรียกเก็บค่าบริการมากกว่าระดับปกติถึง 50 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,500 บาท อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าโอเปอเรเตอร์ในไทยมีความเคลื่อนไหวเรื่องบิลช็อกและโรมมิ่งรั่วดีกว่าโอเปอเรเตอร์ในสหรัฐฯ วันนี้ ทั้งดีแทคและทรูมูฟใช้วิธีแจ้งให้ผู้บริโภคดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อเป็นตัวช่วยในการตรวจสอบว่ากำลังใช้งานบนเครือข่ายที่อยู่ในแพกเกจบริการหรือไม่ ซึ่งจะสามารถป้องกันค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ระดับหนึ่ง มีเพียงเอไอเอสที่เลือกใช้วิธีพัฒนาระบบแจ้งเตือนซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสมัครใช้งานหรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใด โดยไม่เพียงแจ้งเตือนเมื่อแพ็กเกจที่สมัครไว้ใกล้หมดอายุ ผู้ใช้ยังตรวจสอบปริมาณการใช้งานดาต้าคงเหลือแบบเรียลไทม์ ที่น่าสนใจที่สุดคือระบบจะปิดกั้นหรือบล็อกการเชื่อมต่ออัตโนมัติเมื่อผู้ใช้เข้าสู่เครือข่ายที่ไม่อยู่ในแพกเกจ ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้แพ็กเกจอันลิมิตมักถูกเก็บค่าบริการเพิ่มเมื่อใช้งานนอกเหนือจากพื้นที่ที่กำหนดไว้ | |||||
ทั้งหมดทั้งปวง วันนี้หน่วยงานรัฐของไทยทำได้เพียงจัดทำคู่มือเล่มเล็กให้ความรู้เรื่องการใช้บริการข้ามแดนอัตโนมัติในชื่อ “มือถือไปเมืองนอก” หรือ Mobile Passport เพื่อแจกให้ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาป้องกันปัญหาบิลช็อก โดยแจกที่จุดประชาสัมพันธ์การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และจุดทำพาสปอร์ตของกรมการกงสุล (แจ้งวัฒนะ ปิ่นเกล้า และเซ็นทรัลบางนา) ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์เฉพาะกลุ่มผู้เข้าถึงข้อมูลได้เท่านั้น ที่สำคัญ แนวโน้มโรมมิ่งรั่วยังตั้งเค้าเติบโตต่อเนื่อง เพราะความนิยมในการใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ทั้งหมดล้วนมีปัจจัยเสริมจากความร้อนแรงของเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ส่งให้ลูกค้าไทยมีสัดส่วนใช้งานบริการดาต้าโรมมิ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพราะการนำเครื่องไปใช้ในต่างประเทศ ทำให้ความเสี่ยงเกิดปัญหาโรมมิ่งรั่วเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แม้วันนี้ผู้บริโภคจะศึกษาเงื่อนไขการให้บริการพร้อมอัตราค่าบริการก่อนเดินทางออกนอกประเทศกันมากขึ้น แถมยังระมัดระวังการเลือกตั้งค่าเครือข่ายในต่างประเทศที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน (เช่น airtell กับ aircell) หากรัฐบาลมองเห็นความสำคัญ และหยิบประเด็นบิลช็อกทั้งในประเทศและต่างประเทศขึ้นมาแก้ไขอย่างจริงเหมือนสหรัฐฯ โอเปอเรเตอร์ไทยและคนไทยนี้เองที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด เพราะวันนี้ ในบรรดาคนไทยที่เดินทางออกนอกประเทศเฉลี่ยปีละมากกว่า 5 ล้านคน ซึ่งล้วนเป็นนักธุรกิจ นักเรียน และนักท่องเที่ยวนั้นหันไปแก้ปัญหาบิลช็อกด้วยการซื้อซิมกับโอเปอเรเตอร์ท้องถิ่น ขณะที่บางรายเลือกจำกัดการใช้งานไว้เฉพาะเครือข่ายไว-ไฟของโรงแรม ซึ่งถือเป็นการจำกัดโอกาสในการสื่อสารอย่างน่าเสียดาย | |||||
สิ่งควรทำเพื่อเลี่ยงบิลช็อก น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ให้ความรู้ไว้ว่า ผู้ใช้ที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศและนำโทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตไปด้วยนั้นมีข้อควรระมัดระวังคือ 1. หากสมัครใช้บริการข้ามแดนอัตโนมัติ หรือโรมมิ่ง จะต้องตั้งค่าเครื่องด้วยมือ หรือ Manual ให้เลือกรับสัญญาณเฉพาะเครือข่ายที่อยู่ในโปรโมชั่นเท่านั้น โดยระมัดระวังเพราะบางครั้งเครือข่ายในต่างประเทศมีชื่อคล้ายคลึงกัน 2. ศึกษาข้อมูลการใช้บริการจากเว็บไซต์ผู้ให้บริการ ศึกษาค่าใช้จ่าย โดยสอบถามรายการการคิดค่าบริการจากผู้ให้บริการ จากนั้นแจ้งกับเครือข่ายผู้ให้บริการเพื่อเปิดบริการที่ต้องการใช้ และปิดบริการที่ไม่ต้องการใช้ |