สิ่งที่ควรทำเมื่อ [1] ยางรถระเบิดขณะขับรถอยู่ และเมื่อ [2] รถตกน้ำ

1 view
Skip to first unread message

Vipas @ Y!Mail

unread,
Mar 23, 2009, 9:21:34 AM3/23/09
to fy...@googlegroups.com, nice...@googlegroups.com
From: Trakarn
Sent: Saturday, March 21, 2009 7:03:06 PM
Subject: Fw: สิ่งที่ควรทำเมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถอยู่และเมื่อรถตกน้ำ ส่งต่อได้ประโยชน์นะ

From: paiboon
Date: Saturday, March 21, 2009, 1:19 PM

From: Phurit
Sent: Thursday, March 19, 2009 9:10:44 AM
From: nitann...@hotmail.com
Date: Tue, 3 Mar 2009 04:27:20 +0000

From: kwang...@hotmail.com
Date: Mon, 2 Mar 2009 11:49:31 +0700

From: bie_s...@hotmail.com
Date: Wed, 25 Feb 2009 20:42:41 +0700

From: k.s...@hotmail.com
Date: Fri, 20 Feb 2009 16:00:00 +0700

From: dar...@satin.co.th
Date: Wed, 18 Feb 2009 18:23:11 +0700

 
จะทำอย่างไรเมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถอยู่

มีประโยชน์มาก และช่วยกันส่งต่อด้วยนะ ขับรถให้ปลอดภัย

 

กรณีที่ 1 เมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
2. ถอนคันเร่งออก
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะว่า จะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น  อาจเสียหลักเพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ
    ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิดคือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม
เมื่อระเบิดด้านซ้าย รถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนอง ตรงกันข้ามหากระเบิดด้านขวาอาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมากๆ   พอยางระเบิดขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆ จึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว( ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยในDEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน100   กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)  
 
กรณีที่2   เมื่อรถตกน้ำ
    ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปใน น้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำ
แต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึง พื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้    
ควรตั้งสติให้ดี และ ป ฏิ บัติดังต่อไปนี้
1. ปลดSAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย
2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดันในรถและนอกรถให้เท่ากัน
    มิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของรถได้
7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้
 
    ในกรณีนี้หากน้ำลึกมากๆ อาจจะมองไม่เห็นว่าทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมด ไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่ายไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ กรณีเช่นนี้ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติ    หรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มีอาการหลงน้ำ นอกจากนั้นก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆ นั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่านปลอดภัยได้ในยามคับขัน
อยากให้ ทุ กคนส่งต่อไปให้เพื่อนๆ และคนรู้จักให้มากๆเลยนะ
    เป็นการช่วยเหลือกันหากเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้นมา การมีความรู้ในขั้นตอนในการควบคุมยานยนต์ และการปฏิบัติตนในขณะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ สามารถช่วยลดอัตราการตายและการบาดเจ็บได้แน่นอน ถ้าจะให้ดีพริ้นเก็บไว้ในรถของทุกคนเลยก็ดีนะจะได้เอาไว้อ่านทบทวนกันได้ ขอให้ทุกคน ขับรถอย่างปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ  
  


Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages