รวมฟัตวา (การตอบคำถาม)เดือนรอมฎอน ของบรรดาอุละมาอ์ผู้รู้ที่เป็นที่ยอมรับในโลกอิสลาม

1,467 views
Skip to first unread message

Salma Useng

unread,
Aug 10, 2011, 1:06:22 AM8/10/11
to an-...@googlegroups.com

เดือนรอมฎอนอันประเสริฐกลับมาเยือนเราอีกครั้ง  จึงอยากรวบรวมฟัตวา (การตอบคำถาม) ของบรรดาอุละมาอ์ผู้รู้ที่เป็นที่ยอมรับในโลกอิสลาม จะได้เป็นการสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ อินชาอัลลอฮฺ..



(1) - จะทราบได้อย่างไรว่าเริ่มเข้าสู่เดือนรอมฎอน?

ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่าเข้าสู่เดือนรอมฎอน?

ตอบ : ด้วย 2 วิธี คือ

1- มองเห็นเดือน ดังที่อัลลอฮฺตะอาลาทรงตรัสไว้ว่า

(فَمَن شَهِدَ مِنكُمُ الشَّهْرَ فَلْيَصُمْهُ)

   “ดังนั้น ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น  

                                               ( อัลบะเกาะเราะฮฺ : 185)

ดังนั้น เมื่อมีการยืนยันจากผู้ที่เชื่อถือได้ ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม

2- เดือนชะอฺบานครบ 30 วัน

                                       (ฟัตวาเชค ศอลิหฺ อัลมุนัจญิด)



(2) - นอนเยอะในช่วงกลางวันของเดือนรอมฎอน

ถาม : ในเดือนรอมฎอนนั้น หากว่าหลังจากที่เราทานอาหารสุหูรฺและละหมาดฟัจญรฺเสร็จ เรานอนยาวถึงเวลาละหมาดซุฮรฺ เมื่อละหมาดซุฮรฺเสร็จก็นอนต่อจนถึงอัศรฺก็ตื่นละหมาดแล้วนอนต่อถึงมักริบ กระทำเช่นนี้การถือศีลอดของเราถือว่าใช้ได้ไหม?

ตอบ : การถือศีลอดในกรณีนี้ถือว่าใช้ได้ แต่การที่คนเรานอนตลอดทั้งวันนั้นถือเป็นความบกพร่องประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่มุสลิมจะกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองให้ มากๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านอัลกุรอาน หรือ การศึกษาหาความรู้ เป็นต้น

(ฟัตวาคณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการและชี้ขาดปัญหาศาสนา ซาอุฯ เล่ม 1 หน้า 129)



(3) - การทานอาหารสุหูรฺเป็นผลดีต่อการถือศีลอด

ถาม : คนที่ไม่ทานสุหูรฺนั้น การถือศีลอดของเขาถือว่าใช้ได้ไหม?

ตอบ : การถือศีลอดของเขาถือว่าใช้ได้ เพราะการทานสุหูรฺนั้นไม่ใช่เงื่อนไขในการทำให้การถือศีลอดนั้นใช้ได้ แต่เป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้กระทำ (มุสตะหับ) เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :

( تَسَحَّرُوا فإنّ في السحُور بَركةً )

ความว่า พวกท่านจงทานสุหูรฺเถิด แท้จริงแล้วการทานสุหูรฺนั้นนำมาซึ่งบะเราะกะฮฺ (ความจำเริญ) ”                                  บันทึกโดย บุคอรี และมุสลิม

          (ฟัตวาเชคอับดุลอะซีซ บิน บาซ จากหนังสือรวมฟัตวาของท่าน)



(4) - กลืนน้ำลายขณะถือศีลอด

ถาม : อยากทราบหุก่มการกลืนน้ำลายในขณะถือศีลอด

ตอบ :
 เป็นสิ่งที่กระทำได้ ฉันไม่พบว่ามีอุละมาอฺท่านใดเห็นต่างไปจากนี้ เนื่องจากเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการกลืนน้ำลาย ส่วนเสมหะและเสลดนั้นหากออกมาถึงช่องปากแล้วจำเป็นต้องคายออกมา และไม่อนุญาตให้กลืนเข้าไป เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต่างจากน้ำลาย วะบิลลาฮิตเตาฟีก

         (ฟัตวาเชค บินบาซ ในหนังสือรวมฟัตวาของท่าน เล่ม 3 หน้า 251)



(5) - การใช้ไม้สิวากขณะถือศีลอด

ถาม : มีบางคนพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ไม้สิวากขณะถือศีลอด เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้เสียการถือศีลอด ไม่ทราบว่าเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? และเวลาใดที่เหมาะสำหรับการใช้สิวากในเดือนรอมฎอน?

ตอบ : การหลีกเลี่ยงการใช้สิวากในขณะถือศีลอดนั้นเป็นการกระทำที่ไม่มีหลักฐาน เนื่องจากการใช้สิวากนั้นถือเป็นสุนนะฮฺดังที่ปรากฎในหะดีษเศาะฮี้หฺ

(
السواك مطهرة للفم ومرضاة للرب)

ความว่า การใช้สิวากนั้น เป็นการทำให้เกิดความสะอาดในช่องปาก และทำให้เกิดความพอพระทัย ณ พระผู้เป็นเจ้า

ซึ่ง ส่งเสริมให้กระทำทุกเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำการอาบน้ำละหมาด,เมื่อจะทำ การละหมาด,ตื่นจากนอน หรือเข้าบ้าน เป็นต้น ไม่ว่าจะขณะถือศีลอดหรือไม่ก็ตาม และไม่เป็นการทำให้การถือศีลอดเสียแต่อย่างใด นอกเสียจากว่าไม้สิวากนั้นจะมีรสชาติและทิ้งร่องรอยในน้ำลาย หรือใช้แล้วเกิดมีเลือดไหลออกจากเหงือกหรือไรฟัน เช่นนี้แล้วก็ไม่อนุญาตให้กลืนกินสิ่งเหล่านั้น

                              (ฟัตวาเชค อิบนฺ อุษัยมีน ในฟิกฮุลอิบาดาต)

 

 




 

(6) - การกินหรือดื่มโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถาม : อะไรคือหุก่มของการกินหรือดื่มขณะถือศีลอดด้วยความลืมตัว?

ตอบ : ผู้ที่กินหรือดื่มขณะถือศีลอดโดยที่เขาไม่ได้เจตนานั้น การถือศีลอดของเขาถือว่าใช้ได้ แต่ทันทีที่เขานึกขึ้นได้จำเป็นต้องคายออกมาทันทีแม้ว่าจะเป็นเพียงอาหารแค่ คำเดียว ซึ่งหลักฐานที่ระบุว่าการถือศีลอดของเขาถือว่าใช้ได้นั้น ได้แก่หะดีษซึ่งรายงานโดยท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


(
من نسي وهو صائم فأكل أو شرب فليتم صومه فإنما أطعمه الله وسقاه)

ความ ว่า : ผู้ใดเผลอกินหรือดื่มในขณะถือศีลอด ก็ให้เขาถือศีลอดต่อไปแท้จริงแล้วอัลลอฮฺได้ทรงประทานอาหารและเครื่องดื่ม แก่เขา         

                                         บันทึกโดย บุคอรี และมุสลิม

                           (ฟัตวาเชค อิบนฺ อุษัยมีน ในฟิกฮุลอิบาดาต)



(7) - การใช้ยาห้ามประจำเดือนในเดือนรอมฎอน

ถาม : อนุญาตให้ใช้ยาห้ามประจำเดือนเพื่อให้สามารถถือศีลอดได้ทั้งเดือนหรือไม่?

ตอบ : สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นการดีที่มุสลิมะฮฺจะได้ถือศีลอดพร้อมๆกับคนอื่นและไม่ต้องถือ ศีลอดชดภายหลัง ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อตัวเธอ เนื่องจากสตรีบางคนเมื่อใช้ยาชนิดนี้แล้วจะทำให้เกิดอาการแพ้

(ฟัตวาเชคบินบาซ ในหนังสือรวมฟัตวาของท่าน เล่ม 15 หน้า 201)



(8 ) - การชิมอาหารขณะถือศีลอด

ถาม : การชิมรสชาติอาหารขณะถือศีลอดทำให้การถือศีลอดเสียหรือไม่?

ตอบ : อนุญาตให้ใช้ลิ้นทำการชิมรสชาติอาหารขณะถือศีลอดได้ แต่ชิมเสร็จแล้วต้องคายออกมาและไม่กลืนกินอาหารนั้นเข้าไป หากผู้ใดเจตนากลืนอาหารเข้าไปถือว่าการถือศีลอดของเขานั้นเสีย ทั้งนี้ ปากนั้นถือเป็นอวัยวะภายนอก การชิมอาหารจึงไม่ทำให้การถือศีลอดเสีย เปรียบได้กับการบ้วนปากในการอาบน้ำละหมาด

(ฟัตวาเชคศอลิหฺ อัลเฟาซาน จาก www.islamway.com)



(9) – การอาเจียน

ถาม : การอาเจียนทำให้เสียการถือศีลอดหรือไม่?

ตอบ : หากว่าเจตนาทำให้อาเจียนก็ถือว่าเสีย แต่ถ้าหากอาเจียนออกมาเองโดยไม่เจตนา เช่นนี้ก็ไม่เสีย ซึ่งหลักฐานที่ระบุถึงประเด็นนี้ได้แก่หะดีษอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :

"
من ذرعه القيء فلا قضاء عليه، ومن استقاء عمداً فليقض"

ความ ว่า "ผู้ใดที่อาเจียนออกมาโดยไม่ได้เจตนานั้นไม่มีการชดสำหรับเขา และผู้ใดที่เจตนาทำให้อาเจียน เขาก็จงชดเสีย" 

                                    บันทึกโดย อบู ดาวุด และตัรมิซียฺ

หากรู้สึกเหมือนจะมีอะไรออกมา จำเป็นต้องพยายามกลั้นไว้ หรือ พยายามทำให้ออก? คำตอบคือ อย่าพยายามทำให้อาเจียนออกมา และอย่าพยายามกลั้น เพราะถ้าเจตนาให้อาเจียนออกมาการถือศีลอดก็เสีย และถ้าหากพยายามกลั้นก็อาจจะเกิดโทษได้ เพราะฉะนั้นให้ทำตัวตามสบาย หากอาเจียนออกมาโดยไม่ได้เจตนา ก็ไม่ทำให้การถือศีลอดเสียแต่อย่างใด

                                            (ฟัตวาเชคอิบนุ อุษัยมีน)



(10) - ตัดผม ตัดเล็บ ขณะถือศีลอด

ถาม : อยากทราบว่าการตัดผม หรือตัดเล็บขณะถือศีลอดทำให้การถือศีลอดเสียหรือไม่?

ตอบ : การตัดผม ตัดเล็บ โกนขนรักแร้ หรือขนในที่ลับ ไม่ทำให้การถือศีลอดเสียแต่อย่างใด

(ฟัตวาคณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยและชี้ขาดปัญหาศาสนา ซาอุฯ)


 

 

 

 



(16) – การเจาะเลือด

ถาม : การเจาะเลือดขณะถือศีลอดเพื่อนำไปตรวจ มีผลทำให้การถือศีลอดเสียหรือไม่?

ตอบ 1 : อัลหัมดุลิลลาฮฺ หากว่าเลือดที่เจาะไปนั้นโดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นปริมาณเพียงเล็กน้อย ก็ไม่ทำให้การถือศีลอดเสีย แต่ถ้าหากว่าเป็นการเจาะเลือดในปริมาณมาก ก็ควรถือศีลอดชดสำหรับวันนั้น เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งระหว่างอุละมาอฺ และเป็นการเผื่อ

(ฟัตวาคณะกรรมการถาวรเพื่อวิจัยทางวิชาการและฟัตวา ซาอุฯ เล่ม 10 หน้า 263)

ตอบ 2 : การตรวจเลือดเช่นนี้ไม่ทำให้การถือศีลอดเสีย แต่เป็นสิ่งที่อนุโลมให้กระทำเพราะความจำเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เสียการถือศีลอดตามบทบัญญัติศาสนาแต่อย่างใด

          (ฟัตวาเชคบินบาซ ในฟะตาวา อิสลามิยะฮฺ เล่ม 2 หน้า 133)


 

 

(17) – การถือศีลอดในวันที่สงสัยว่าเป็นวันที่ 1 รอมฎอนหรือไม่? (يوم الشك)

ถาม : อยากทราบหุก่มการถือศีลอดในวันที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นวันที่ 1 รอมฎอนหรือ 30 ชะอฺบาน?

ตอบ :
 ผู้ที่ถือศีลอดในวันที่สงสัยว่าเป็นวันที่ 1 รอมฎอนหรือ 30 ชะอฺบาน โดยที่ไม่ได้ทราบว่ามีการเห็นเดือนอย่างถูกต้องตามหลักการ แล้วปรากฎว่าวันนั้นเป็นวันที่ 1 รอมฎอนพอดี เช่นนี้ การถือศีลอดของเขาในวันนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ เนื่องจากเขาไม่ได้ยึดหลักศาสนาในการเริ่มถือศีลอด (นั่นคือการมองเห็นเดือน) อีกทั้งยังเป็นวันที่กังขา (เยามุชชัก) ซึ่งมีหลักฐานที่ถูกต้องระบุชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ถือศีลอดในวันนี้ [ เช่น รายงานจากท่านอัมมารฺ บิน ยาสิรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า ผู้ใดถือศีลอดในวันซึ่งเป็นที่กังขา (เยามุชชัก)  แท้จริงเขาได้ฝ่าฝืนคำสั่งของ

อบุล กอสิม (ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)บันทึกโดยนักบันทึกทั้ง 4 ท่านอิบนุคุซัยมะฮฺกล่าวว่าเศาะหีหฺ

และ จำเป็นที่เขาต้องถือศีลอดชดสำหรับวันนี้  ซึ่งทัศนะนี้เป็นของอุละมาอฺส่วนใหญ่ เช่น ท่านอบูหะนีฟะฮฺ ท่านมาลิก ท่านชาฟิอียฺ และบรรดาสานุศิษย์ของท่านเหล่านั้น วะบิลลาฮิตเตาฟีก วะศ็อลลัลลอฮุอะลานะบิยินามุหัมมัด วะอาลิฮี วะเศาะหฺบิฮี วะสัลลัม

(ฟัตวาคณะกรรมการถาวรเพื่อวิจัยทางวิชาการและฟัตวา ซาอุฯ เล่ม 10 หน้า 117-118)



(18) - ประโยชน์ทางด้านสังคมของการถือศีลอด?

ถาม : การถือศีลอดมีประโยชน์ทางด้านสังคมหรือไม่?

ตอบ : การถือศีลอดมีประโยชน์ทางด้านสังคมหลายประการด้วยกัน เช่น ทำให้มุสลิมมีความรู้สึกว่าทั้งหมดเป็นประชาชาติเดียวกัน ทุกคนต่างถือศีลอดในช่วงเวลาเดียวกัน คนรวยจะสำนึกในเนียะมัตของอัลลอฮฺ รับรู้ถึงความรู้สึกของคนจน และสงสารพวกเขา และในเดือนรอมฎอนความชั่วร้ายในหนทางของชัยฏอนลดน้อยลง ความตักวายำเกรงเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีความตักวา สังคมก็จะสงบสุข

          (ฟัตวาเชคอิบนุ อุษัยมีน ในหนังสือรวมฟัตวาของท่าน)



(19) – ในเดือนรอมฎอนชัยฏอนถูกล่าม แต่ทำไมเรายังเห็นคนทำบาป?

ถาม : เราต่างทราบกันดีว่าในเดือนรอมฎอนนั้นชัยฏอนจะถูกล่าม แต่ทำไมเราจึงยังเห็นผู้คนกระทำบาปกันอีก?

ตอบ : การกระทำบาปและมะศียัตที่เราเห็นในเดือนรอมฎอนนั้นไม่ได้ขัดแย้งกับตัวบทที่ ว่าชัยฏอนถูกมัดหรือล่ามแต่อย่างใด เนื่องจากการที่พวกมันถูกล่ามนั้นไม่ได้บ่งบอกว่ามันจะไม่สามารถขยับเขยื้อน ตัวเลยเสียทีเดียว ดังนั้น จึงมีหะดีษบทหนึ่งระบุว่า
 
(
تصفد فيه الشياطين، فلا يخلصون إلى ما يخلصون إليه في غيره )
ความว่า : ในเดือนนี้ (รอมฎอน) ชัยฏอนจะถูกล่ามไว้ ดังนั้น พวกมันจึงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เหมือนกับที่เคยทำในเดือนอื่นๆ

นั่น คือ ไม่ใช่ว่าพวกมันจะขยับเขยื้อนทำอะไรไม่ได้เลยเสียทีเดียว มันยังคงเคลื่อนไหว และยังหลอกล่อผู้คนให้หลงผิด เพียงแต่กำลังของมันในเดือนรอมฎอนจะไม่อยู่ในระดับเดียวกับในเดือนอื่นๆ

และปรากฎในบางรายงานซึ่งบันทึกโดยอันนะสาอียฺว่า :

(
تصفد فيه مردة الشياطين )
ความว่า : บรรดาชัยฏอนที่มีความชั่วร้ายระดับต้นๆจะถูกล่ามตรวนไว้

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับที่จำเป็นต้องศรัทธาโดยไม่ต้องซักไซร้ให้มากความ เช่นนี้จะเป็นการดีและปลอดภัยที่สุดสำหรับเรา

              (ฟัตวาเชคอิบนุ อุษัยมีน ในหนังสือรวมเล่มฟัตวาของท่าน)



(20) - ถือศีลอดเพื่อลดความอ้วน

ถาม : อยากทราบหุก่มของคนที่ถือศีลอดเพื่อรักษาโรคหรือลดน้ำหนัก?

ตอบ : หากว่าเขาเนียตเพียงแค่นั้น แน่นอนว่าการถือศีลอดของเขาจะไม่มีประโยชน์ใดๆเลยในอาคิเราะฮฺ อัลลอฮตะอาลาทรงตรัสไว้ว่า

  (
مَن كَانَ يُرِيدُ العَاجِلَةَ عَجَّلْنَا لَهُ فِيهَا مَا نَشَاءُ لِمَن نُّرِيدُ ثُمَّ جَعَلْنَا لَهُ جَهَنَّمَ يَصْلاهَا مَذْمُوماً مَّدْحُوراً ، ومَنْ أَرَادَ الآخِرَةَ وسَعَى لَهَا سَعْيَهَا وهُوَ مُؤْمِنٌ فَأُوْلَئِكَ كَانَ سَعْيُهُم مَّشْكُورا )

ความ ว่า : ผู้ใดปราถนาชีวิตชั่วคราว (ในโลกนี้) เราก็จะเร่งให้เขาได้รับมัน ตามที่เราประสงค์แก่ผู้ที่เราปราถนา แล้วเราได้เตรียมนรกไว้สำหรับเขา เขาจะเข้าไปอย่างถูกเหยียดหยามถูกขับไส และผู้ใดปราถนาปรโลก และขวนขวายเพื่อมันอย่างจริงจัง โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ชนเหล่านั้น การขวนขวายของพวกเขาจะได้รับการชมเชย”    

                                              (อัลอิสรออฺ : 18-19)

                   (ฟัตวาอุละมาอฺ รวบรวมโดย เชคศอลิหฺ อัลมุนัจญิด)


 

 

 

 

(21) - คนป่วย

ถาม : ชายคนหนึ่งเป็นโรคกระเพาะอักเสบ หมอห้ามให้เขาถือศีลอดเป็นเวลา 5 ปี ไม่ทราบว่าเช่นนี้เขาต้องทำอย่างไร?

ตอบ : หากว่าหมอที่ห้ามเขาถือศีลอดนั้นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ มีความรู้ และมีอมานะฮฺ เช่นนี้ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่หมอบอก ด้วยการไม่ถือศีลอด จนกระทั่งเขาสามารถที่จะถือศีลอดได้อีกครั้ง ดังที่อัลลอฮฺตะอาลาทรงตรัสไว้ว่า

(
فَمَن كَانَ مِنكُم مَّرِيضاً أَوْ عَلَى سَفَرٍ فَعِدَّةٌ مِّنْ أَيَّامٍ أُخَر )

ความว่า : "แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าป่วยหรืออยู่ในการเดินทางก็ให้ถือใช้ในวันอื่น" (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 184)

และเมื่อเขาหายแล้ว ก็จำเป็นที่เขาต้องถือศีลอดชดสำหรับเดือนรอมฎอนที่เขาไม่ได้ถือศีลอด



(22) - ผู้ป่วยที่ไม่สามารถถือศีลอดได้อีกเลย

ถาม : อยากทราบหุก่มของผู้ที่ไม่สามารถถือศีลอดได้อีกเลย เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่มีความหวังจะหาย หรือเนื่องจากความชรา?

ตอบ : จำเป็นที่เขาต้องให้อาหารแก่คนจน ครึ่งศออฺ (ราวๆ ครึ่งกิโลกรัม) 1 คน ต่อ 1 วัน ซึ่งอาหารนั้นต้องเป็นอาหารหลักที่คนทั่วไป ณ ที่นั้นทานกัน เช่น ข้าว เป็นต้น โดยให้จ่ายต้นเดือนดังที่ท่านอนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เคยทำ หรือจะเป็นกลางๆเดือน หรือปลายเดือนก็ได้

               (ฟัตวาอุละมาอฺ รวบรวมโดย เชค ศอลิหฺ อัลมุนัจญิด)



(23) - การเนียตในคืนก่อนการเดินทาง

ถาม : ชายคนหนึ่งประสงค์จะเดินทางในวันรุ่งขึ้น ไม่ทราบว่าในคืนนั้นเขาจะเนียตว่าพรุ่งนี้จะไม่ถือศีลอด (เพราะจะเดินทาง) ได้หรือไม่?

ตอบ : ไม่อนุญาตให้กระทำเช่นนั้น จำเป็นที่เขาต้องเนียตถือศีลอด เพราะเขาไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา อาจจะมีเหตุทำให้เดินทางไม่ได้ก็เป็นได้ เมื่อเขาเดินทางแล้วจึงค่อยละศีลอดหากเขาประสงค์ หรือหากจะยังคงถือศีลอดก็ไม่เป็นไร

                  (ฟัตวาอุละมาอฺ รวบรวมโดย เชค ศอลิหฺ อัลมุนัจญิด)



(24) - คอตัมอัลกุรอานในเดือนรอมฎอน

ถาม : อยากทราบว่า จำเป็นไหมที่เราต้องอ่านอัลกุรอานให้จบในเดือนรอมฎอน?

ตอบ : ถือเป็นเรื่องดีที่เราจะอ่านอัลกุรอานให้มากๆในเดือนรอมฎอน หากอ่านให้จบได้ก็ยิ่งดี แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่วาญิบ(จำเป็น) ต้องกระทำแต่อย่างใด นั่นคือ หากอ่านไม่จบก็ไม่ถือว่าเป็นบาปแต่อย่างใด แต่ก็จะเป็นการพลาดผลบุญอันใหญ่หลวง

มีบันทึกในเศาะหีหฺบุคอรี (4614)

    จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ว่า

 
أن جبريل كان يعْرضُ عَلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْقُرْآنَ كُلَّ عَامٍ مَرَّةً ، فَعرضَ عَلَيْهِ مَرَّتَيْنِ فِي الْعَامِ الَّذِي قُبِضَ فيه

ความว่า : ญิบรีลได้ทวนอัลกุรอานให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ปีละครั้ง ส่วนในปีที่ท่านเสีย  ญิบรีลทวนอัลกุรอานให้ท่านสองครั้ง

อิบนุลอะษีรฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :
นั่นคือ ญิบรีลได้ช่วยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทวนอัลกุรอานทั้งหมดที่ถูกประทานลงมา”     (เฆาะรีบุลหะดีษ 4/64)
 
ซึ่ง การคอตัมอัลกุรอานในเดือนรอมฎอนก็ได้เป็นแนวทางปฏิบัติของบรรดาชนยุคแรก เรื่อยมา ตามแบบฉบับของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังมีบันทึกว่าท่านเหล่านั้นอ่านอัลกุรอานจบมากกว่าหนึ่งครั้งในเดือนนี้ บางท่านอาจจะอ่านจบวันละครั้งหรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
 
ท่านนะวะวีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวถึงประเด็นการคอตัมอัลกุรอานว่าควรจะมากน้อยเพียงใด ว่า :
ที่ ถูกต้องคือ ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่แล้วแต่กรณีของแต่ละคน บางคนต้องใช้เวลาและความละเอียดมากในการที่จะพินิจพิเคราะห์ถึงความหมายที่ ลึกซึ้ง สำหรับเขาก็ควรอ่านเฉพาะเท่าที่จะทำให้เขาเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งที่สุด หรือบางคนอาจจะยุ่งอยู่กับการเผยแพร่ความรู้ หรือสิ่งอื่นๆที่สำคัญต่อศาสนาและผลประโยชน์ของประชาชาติมุสลิม เขาก็อาจจะอ่านเท่าที่จะไม่ทำให้มีผลกระทบต่อหน้าที่การงานของเขา ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ได้เข้าข่ายกรณีดังกล่าว ก็อาจจะอ่านให้มากแต่ก็อย่าให้ถึงขั้นทำให้รู้สึกเบื่อหรือต้องอ่านเร็วจน เกินไป”               

                                                   (อัตติบยาน 76)

วัลลอฮุอะอฺลัม

แปลอย่างย่อจาก www.islamqa.com

           (ฟัตวาอุละมาอฺ รวบรวมโดย เชค ศอลิหฺ อัลมุนัจญิด)

 

 




(25) - การถือศีลอดของเด็ก

ถาม : เราจะให้เด็กที่มีอายุไม่ถึง 15 ปี ถือศีลอด เหมือนกับที่เราให้เขาละหมาดหรือไม่?

ตอบ : สมควรฝึกให้เด็กที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะได้ถือศีลอดหากพวกเขาสามารถจะทำได้ ดังเช่นที่เศาะหาบะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ได้ฝึกลูกหลานของท่าน

อุละมาอ์ท่านกล่าวว่า
ผู้ปกครองควรที่จะใช้ให้ลูกหลานของตนถือศีลอด เพื่อจะได้เป็นการฝึกฝนพวกเขา ทำให้เกิดความเคยชิน และทำให้รากฐานทางศาสนาฝั่งแน่นลงไปในจิตใจของพวกเขา จนเปรียบเสมือนเป็นเรื่องปกติธรรมสำหรับพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถทนได้ หรืออาจเกิดอันตราย ก็ไม่จำเป็นต้องถือศีลอด


แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือนคือ พ่อแม่บางคนไม่ยอมให้ลูกหลานตนถือศีลอด ซึ่งถือว่าขัดกับแนวทางของบรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม โดยพ่อแม่เหล่านั้นอ้างว่า เป็นเพราะสงสารและเมตตาลูกๆของพวกเขา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ความเมตตาที่แท้จริงก็คือการกำชับใช้เด็กเหล่านั้นให้มีความเคยชินกับบทบัญญัติอิสลาม ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าเช่นนี้ คือการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องสมบูรณ์

มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า :

"إنَّ الرَّجُل رَاع فِي أَهْل بَيْتِه وَمَسْئُولٌ عَن رَعِيَّتِهِ"


และผู้ชายนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบสมาชิกในครอบครัวของเขา และเขาจะถูกถามถึงการทำหน้าที่ของเขา” 

                        (บันทึกโดย บุคอรี 893 และมุสลิม 1829)

(หนังสือฟัตวา เชค อิบนุอุษัยมีน หมวดดะอฺวะฮฺ 1/145-146)

islamtoday.net

 

 



(26) - ไปละหมาดตะรอเวียะหฺช้า

ถาม : ในกรณีที่ฉันไปมัสยิดช้า แล้วไม่ทันละหมาดอิชาอ์พร้อมญะมาอะฮฺ ฉันจึงละหมาดคนเดียว ทำให้ฉันพลาดการละหมาดตะรอเวียะหฺพร้อมอิหม่าม 2 ร็อกอัต เช่นนี้ฉันจะละหมาด 2 ร็อกอัตนี้อย่างไร? ละหมาดคนเดียว หรือเช่นไร?

ตอบ : 

ข้อแรก : ในกรณีที่คุณไปไม่ทันละหมาดอิชาอ์ โดยเมื่อไปถึงปรากฏอิหม่ามได้เริ่มละหมาดตะรอเวียะหฺแล้ว ที่ดีกว่าคือ ให้คุณละหมาดพร้อมอิหม่ามโดยเนียต (ตั้งเจตนา) ว่าเป็นละหมาดอิชาอ์ เมื่ออิหม่ามให้สลามแล้ว ก็ให้คุณขึ้นละหมาดต่อให้เสร็จในส่วนที่เหลือ
และคุณอย่าได้ละหมาด (อิชาอ์) คนเดียว หรือพร้อมญะมาอะฮฺอื่น เพื่อที่จะได้ไม่เกิดการทำญะมาอะฮฺซ้อนกันสองญะมาอะฮฺในเวลาเดียวกัน และอาจจะเป็นการรบกวน หรือสร้างความสับสนได้

ข้อที่สอง : ในส่วนของละหมาดตะรอเวียะหฺที่คุณพลาดการละหมาดพร้อมอิหม่ามไปนั้น หากคุณประสงค์จะละหมาดชด ก็ไม่ต้องให้สลามพร้อมอิหม่ามในการละหมาดวิเตร แต่ให้คุณลุกขึ้นละหมาดอีก 1 ร็อกอัต ให้จำนวนร็อกอัตละหมาดวิเตรเป็นเลขคู่ แล้วจึงให้สลาม จากนั้นก็ให้ละหมาดตะรอเวียะหฺในส่วนที่คุณพลาดไป  แล้วจึงตาม ด้วยวิเตร

มีคนถาม เชค อิบนุ อุษัยมีน เราะหิมะฮุลลอฮฺ ว่า :
หากฉันไปละหมาดตะรอเวียะหฺช้า และพลาดการละหมาดบางส่วนไป เช่นนี้ ฉันต้องละหมาดใช้หลังละหมาดวิเตร หรือเช่นไร?

ท่านตอบว่า : ท่านอย่าได้เกาะฎอ (ละหมาดชด) ส่วนที่ท่านพลาดไป หลังการละหมาดวิเตร แต่ถ้าหากท่านประสงค์จะเกาะฎอส่วนที่ท่านพลาดไป ก็ให้ละหมาดวิเตรที่ท่านละหมาดพร้อมอิหม่ามนั้นเป็นจำนวนคู่ (นั่นคือ เมื่ออิหม่ามให้สลามจากวิเตรแล้ว ก็ให้ลุกขึ้นละหมาดอีก 1 ร็อกอัตแล้วจึงค่อยให้สลาม) หลังจากนั้นก็ให้ละหมาดในส่วนที่ท่านพลาดไป แล้วจึงตามด้วยละหมาดวิเตร 

ซึ่ง ณ ตรงนี้ มีประเด็นหนึ่งที่อยากจะชี้แจงคือ หากท่านไปถึงแล้วอิหม่ามเริ่มละหมาดตะรอเวียะหฺแล้ว ในขณะที่ท่านยังไม่ละหมาดอิชาอ์ ท่านจะทำเช่นไร? จะละหมาดอิชาอ์คนเดียว หรือ จะละหมาดพร้อมกับอิหม่ามซึ่งกำลังละหมาดตะรอเวียะหฺ ด้วยเนียตอิชาอ์?

คำตอบ คือ ให้ละหมาดพร้อมอิหม่ามซึ่งกำลังละหมาดตะรอเวียะหฺ โดยที่ท่านเนียตละหมาดอิชาอ์ เมื่ออิหม่ามให้สลามจากละหมาดตะรอเวียะหฺ ก็ให้ท่านยืนขึ้นละหมาดในส่วนที่ท่านพลาดไปให้ครบ ซึ่งท่านอิมามอะหฺมัด เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้ระบุถึงประเด็นนี้อย่างเจาะจง ซึ่งนี่ก็เป็นทัศนะที่ ท่านอิบนุตัยมิยะฮฺให้น้ำหนัก และเป็นทัศนะที่มีน้ำหนักที่สุด 

เพราะที่ถูกแล้ว คือ : อนุญาตให้ผู้ที่ทำการละหมาดฟัรฎู ตามหลังผู้ที่ทำการละหมาดสุนัตได้ โดยมีหลักฐานคือ หะดีษที่ท่าน มุอาซ บิน ญะบัล เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ละหมาดอิชาอ์พร้อมท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วหลังจากนั้นท่านก็กลับไปนำละหมาดชาวบ้านที่หมู่บ้านของท่านอีกครั้ง ซึ่งสำหรับท่านการละหมาด (ครั้งที่สอง) ถือเป็นสุนัต และสำหรับพวกเขาเหล่านั้นถือเป็นฟัรฎู (จาก อัลลิกออ์ อัชชะฮฺรีย์)
ซึ่งหากท่านสามารถเกาะฎอละหมาดตะรอเวียะหฺนั้นในรูปญะมาอะฮฺได้ก็เป็นการดี แต่ถ้าไม่สะดวก ก็อาจจะละหมาดเพียงคนเดียวได้ไม่มีปัญหา

วัลลอฮุอะลัม
 
IslamQA

 

 



(27) - ปวดศีรษะมากจะละศีลอดได้ไหม?

ถาม : ในเดือนรอมฎอนฉันรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากอาการปวดฟัน ฉันจะทานยาในขณะที่ฉันถือศีลอดอยู่ได้ไหม?
ตอบ : การปวดศีรษะอย่างรุนแรงนั้น ถือเป็นหนึ่งในข้ออนุโลมให้ละศีลอดในเดือนรอมฎอนได้ โดยเฉพาะหากการถือศีลอดนั้นยิ่งทำให้อาการปวดรุนแรงมากยิ่งขึ้น เช่นนี้ก็อนุญาตให้ผู้ที่มีอาการดังกล่าวละศีลอด เพื่อทานยาแก้ปวด และทานอาหารดื่มน้ำเพื่อให้หายจากอาการปวดศีรษะได้ โดยที่เขาจำเป็นจะต้องถือศีลอดชดในภายหลัง ตามจำนวนวันที่เขาได้ละศีลอดไป ทั้งนี้ เพราะอัลลอฮฺตะอาลาตรัสว่า "และผู้ใดในหมู่เจ้าเจ็บป่วยหรืออยู่ระหว่างการเดินทาง เขาก็จงถือศีลอดชดในวันอื่นๆ" (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 185)


เชค มุหัมมัดศอลิหฺ อัลมุนัจญิด
www.islamqa.com/ar/ref/108414

 

 



(28) - หาหมอฟันในเดือนรอมฎอน

ถาม : ถ้าหากว่าเราปวดฟัน จำเป็นต้องไปหาทันตแพทย์ เพื่อทำการรักษาด้วยการอุดหรือถอนฟันซี่ใดซี่หนึ่ง เช่นนี้จะมีผลต่อการถือศีลอดของเราหรือไม่? แล้วในกรณีที่ทันตแพทย์ฉีดยาชา เช่นนี้จะมีผลต่อการถือศีลอดไหม?

ตอบ : ที่กล่าวมาในคำถามนั้น ล้วนไม่มีผลต่อการถือศีลอดแต่อย่างใด ถือเป็นสิ่งที่อนุโลมให้ได้ แต่ทั้งนี้ ก็จำเป็นต้องระวังไม่กลืนยาหรือเลือดเข้าไป การฉีดยาชาก็เช่นเดียวกัน ไม่มีผลต่อการถือศีลอดแต่อย่างใด เพราะมันไม่ได้อยู่ในขอบข่ายของสิ่งที่เป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม ดังนั้น การถือศีลอดจึงถือว่าใช้ได้

                  (ฟัตวาเชคอับดุลอะซีซ บินบาซ เราะหิมะฮุลลอฮฺ)

เชคมุนัจญิด กล่าวเสริมว่า:
แต่ถ้าคุณสามารถที่จะไปหาหมอในเวลากลางคืนได้ ก็จะเป็นการดีกว่า

ที่มา : www.islamqa.com/ar/ref/13767

 

 



(29) - สิ่งที่ส่งเสริมให้ทำในเดือนเราะมะฎอน

ถาม : อะไรคือการงานที่ส่งเสริมให้มุสลิมปฏิบัติในเดือนเราะมะฎอน

ตอบ : ส่งเสริมให้ร่วมละหมาดกิยาม (ตะรอเวียะหฺ) พร้อมญะมาอะฮฺ (ละหมาดร่วมกันหลายๆคน) ด้วยความคุชูอฺ (ใจที่สงบนิ่ง) และส่งเสริมให้ละหมาดสุนัตให้มากทั้งกลางวันและกลางคืน ส่งเสริมให้อ่านอัลกุรอานให้มากพร้อมทั้งศึกษาทำความเข้าใจ และส่งเสริมให้ขอดุอาอ์และกล่าวซิกรฺ (รำลึกสดุดีอัลลอฮฺ) ในรูปแบบต่างๆ และใช้เวลาให้หมดไปกับการทำความดี บริจาคทาน และเลี้ยงละศีลอด รวมไปถึงการงานอื่นๆ เช่น ชักชวนกันทำความดีห้ามปรามจากความชั่ว และห่างไกลจากสิ่งที่ไร้ประโยชน์..วัลลอฮุอะลัม



ฟัตวาเชคอับดุลลอฮฺ อัลญิบรีน คำถามเลขที่ 8066 
ที่มา www.ibn-jebreen.com/ftawa.php?view=vmasal&subid=8066&parent=806

 

 



(30) - อนุญาตให้สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรงดเว้นการศีลอดได้ แต่จำเป็นต้องถือชด ส่วนการบริจาคอาหารเพียงอย่างเดียวนั้นถือว่าใช้ไม่ได้

ถาม : ข้าพเจ้าเคยอ่านมาว่า อนุญาตให้สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรงดเว้นการถือศีลอดได้ และให้บริจาคอาหารโดยไม่ต้องเกาะฎอ (ถือศีลอดชด) โดยยึดรายงานจากท่านอิบนุอุมัรเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นหลักฐา่น เช่นนี้ถือว่าถูกต้องหรือไม่? ช่วยกรุณาให้ความกระจ่างแก่ข้าพเจ้าพร้อมหลักฐานด้วย ขออัลลอฮฺประทานความจำเริญแก่ท่าน

ตอบ : นักวิชาการมีทัศนะที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับหุก่มของสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร ในกรณีที่นางทั้งสองงดเว้นการถือศีลอด ดังนี้:

ทัศนะแรก : จำเป็นต้องถือศีลอดชดเพียงอย่างเดียว นี่เป็นทัศนะของอิหม่ามอบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ และเศาะหาบะฮฺที่มีทัศนะเช่นนี้ก็ได้แก่ท่านอะลี บิน อบีฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ

ทัศนะที่สอง : ถ้าหากนางทั้งสองงดเว้นการถือศีลอด เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง ก็จำเป็นต้องถือศีลอดชดเพียงอย่างเดียว แต่ถ้างดเว้นการถือเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็ก ก็จำเป็นต้องถือศีลอดชดพร้อมบริจาคอาหารให้แก่ผู้ยากไร้ หนึ่งคนต่อหนึ่งวันที่ขาดไป และนี่คือทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีย์และอะหมัด และอัลญัศศอศได้ระบุว่าเป็นทัศนะของอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา

ทัศนะที่สาม : จำเป็นต้องบริจาคอาหารเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องถือศีลอดชด ทัศนะนี้มีรายงานจากเศาะหาบะฮฺบางท่านเช่น ท่านอับดุลลอฮฺ บิน อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา นอกจากนี้ท่านอิบนุกุดามะฮฺยังได้ระบุไว้ในหนังสืออัลมุฆนีย์ (3/37) ว่ามีรายงานมาจากท่านอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เช่นกัน


# หลักฐานของทัศนะที่สาม

1- มีรายงานซึ่งบันทึกโดยอบูดาวุด (2318) จากท่านอิบนุอับบาสว่า :
 (อายะฮฺ) "และบรรดาผู้ที่ถือศีลอดด้วยความลำบากยิ่ง (โดยที่เขาได้งดเว้นการถือ) นั้น เขาต้องชดเชยด้วยการให้อาหารแก่คนยากไร้หนึ่งคน" คือข้ออนุโลมสำหรับชายและหญิงชรา ที่ต้องประสบความยากลำบากในการถือศีลอด โดยให้เขาทั้งสองงดเว้นการถือ แล้วบริจาคอาหารแก่คนยากไร้หนึ่งต่อหนึ่งวันที่ขาดไปแทน สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรก็เช่นเดียวกัน หากว่านางทั้งสองกลัว" ท่านอบูดาวุดกล่าวว่า : หมายถึง ถ้านางทั้งสองเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็ก ก็ให้งดเว้นการถือ แล้วบริจาคอาหารชดเชย

ท่านนะวะวีย์ กล่าวว่า : สายรายงานนี้หะสัน

2- และรายงานนี้ยังได้รับการบันทึกโดยอัลบัซซาร โดยเพิ่มในตอนท้ายว่า : 
"และท่านอิบนุอับบาสได้กล่าวแก่มารดาของลูกท่าน (ภรรยาที่เป็นทาสี) ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ว่า : เธอเปรียบได้กับผู้ที่ได้รับความยากลำบากในการถือศีลอด เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่เธอต้องบริจาคอาหาร และไม่ต้องถือศีลอดชด" อัลหาฟิซกล่าวในอัตตัลคีศว่า อัดดาเราะกุฏนีย์ระบุว่าสายรายงานนี้เศาะหีหฺ

>> อัลญัศศอศ ได้ระบุในหนังสือ "อะหฺกามุลกุรอาน" ว่าเศาะหาบะฮฺมีทัศนะที่แตกต่างกันในประเด็นนี้ : "บรรดาชาวสลัฟ (ชนยุคแรก) ได้มีทัศนะที่แตกต่างกันในประเด็นดังกล่าวเป็นสามทัศนะ : โดยท่านอะลีมีทัศนะว่า จำเป็นที่นางทั้งสองต้องถือศีลอดชด ในกรณีที่นางทั้งสองงดเว้นการถือศีลอด โดยไม่ต้องบริจาคอาหาร ส่วนท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า จำเป็นที่นางทั้งสองต้องบริจาคอาหารโดยไม่ต้องถือศีลอชด ในขณะที่ท่านอิบนุอุมัรเห็นว่า จำเป็นต้องบริจาคอาหารพร้อมทั้งถือศีลอดชด" สิ้นสุดข้อความจากหนังสือเล่มดังกล่าว

## ส่วนผู้ที่มีทัศนะว่าจำเป็นที่นางทั้งสอง ต้องถือศีลอดชดเพียงอย่างเดียว ได้ยึดหลักฐานดังต่อไปนี้:

1- รายงานซึ่งบันทึกโดยอันนะสาอีย์ (2274) จากท่านอนัส เล่าจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่าท่านกล่าวว่า : "แท้จริงอัลลอฮฺได้ยกเว้นแก่ผู้เดินทางซึ่งครึ่งหนึ่งของการละหมาด และได้ยกเว้นการถือศีลอด สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรก็เช่นกัน" เชคอัลบานีย์ระบุในเศาะหีหฺอันนะสาอีย์ ว่าเป็นหะดีษเศาะหีหฺ

ในหะดีษบทนี้ ท่านนบีได้หุก่มของสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรนั้น เหมือนกับหุก่มของผู้เดินทาง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าผู้เดินทางนั้น อนุญาตให้ละศีลอดได้ แต่จำเป็นต้องถือชด ดังนั้น สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรก็เช่นเดียวกัน (ดู อะหฺกามุลกุรอาน โดยอัลญัศศอศ)

2- กิยาส (เทียบหุก่ม) กับคนป่วย ในเมื่อผู้ที่เจ็บป่วยนั้น อนุญาตให้เขาละศีลอดโดยจำเป็นต้องถือชด ดังนั้นสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรก็เช่นเดียวกัน (ดู อัลมุฆนีย์ : 3/37 และ อัลมัจญฺมูอฺ : 6/273)

ทัศนะนี้เป็นทัศนะที่อุละมาอ์หลายๆท่านให้น้ำหนัก

เชคบินบาซกล่าวว่า :

"สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรนั้น หุก่มของทั้งสองคือหุก่มเดียวกับคนป่วย เมื่อการถือศีลอดเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับนางทั้งสอง ก็อนุญาตให้งดเว้นการถือได้ และจำเป็นที่นางทั้งสองต้องถือศีลอดชดหากมีความสามารถที่จะทำได้ เช่นเดียวกับคนป่วย

ทั้งนี้ อุละมาอ์บางท่านมีทัศนะว่า เพียงทั้งสองบริจาคอาหารแก่คนยากไร้หนึ่งคนต่อหนึ่งวันที่ขาดไป ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ซึ่งทัศนะนี้เป็นทัศนะที่เฎาะอีฟ (อ่อน) และมัรฺญูหฺ (มีน้ำหนักน้อย) ที่ถูกต้องคือ จำเป็นที่นางทั้งสองต้องถือศีลอดชด เช่นเดียวกับผู้เดินทาง และคนป่วย ดังที่อัลลอฮฺตะอาลาตรัสว่า 'และผู้ใดในหมู่เจ้าเจ็บป่วย หรืออยู่ระหว่างการเดินทาง ก็ให้(ละศีลอดได้และ) ถือชดในวันอื่น' อัลบะเกาะเราะฮฺ 184" (หนังสือรวมฟัตวา 15/225)

และท่านยังกล่าวว่า:

"ที่ถูกต้องในประเด็นนี้คือ จำเป็นที่สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรต้องถือศีลอดชด 
ส่วนรายงานจากท่านอิบนุอับบาส และท่านอิบนุอุมัร ว่าให้สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรบริจาคอาหารนั้น เป็นทัศนะที่มีน้ำหนักน้อย และขัดกับบรรดาหลักฐานตามบทบัญญัติศาสนา และอัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสว่า 'และผู้ใดเจ็บป่วย หรืออยู่ระหว่างการเดินทาง ก็ให้(ละศีลอดได้และ) ถือชดในวันอื่น'อัลบะเกาะเราะฮฺ 185

ซึ่งสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรนั้น อยู่ในกลุ่มผู้ที่เจ็บป่วย ไม่ได้อยู่ในข่ายของคนชราที่ไม่มีความสามารถ นางทั้งสองอยู่ในข่ายผู้เจ็บป่วย จึงจำเป็นที่นางทั้งสองต้องถือศีลอดชดถ้าหากว่าทำได้ แม้ว่าการถือชดจะล่าช้าไปบ้างก็ไม่เป็นไร" (หนังสือรวมฟัตวา15/227)

และคณะกรรมการถาวรเพื่อการฟัตวา (ซาอุฯ) ระบุว่า :

"สตรีมีครรภ์นั้น หากนางเกรงว่าการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน จะเป็นอันตรายต่อตัวเองหรือต่อเด็กในท้อง ก็ให้นางละศีลอดได้ และจำเป็นต้องถือศีลอดชดเพียงอย่างเดียว กรณีของนางก็ไม่ต่างอะไรจากคนป่วยซึ่งไม่สามารถถือศีลอดได้ หรือกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง อัลลอฮฺตะอาลาตรัสว่า 'และผู้ใดเจ็บป่วย หรืออยู่ระหว่างการเดินทาง ก็ให้(ละศีลอดได้และ) ถือชดในวันอื่น'อัลบะเกาะเราะฮฺ 185

สตรีให้นมบุตรก็เช่นเดียวกัน หากนางเกรงว่าการให้นมบุตรในเดือนเราะมะฎอนจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง หรือเกรงว่าการถือศีลอดแล้วไม่ให้นมบุตรจะเป็นอันตรายต่อบุตรของนาง ก็ให้นางละศีลอด โดยจำเป็นต้องถือชดเพียงอย่างเดียว" (หนังสือรวมฟัตวาคณะกรรมการถาวรเพื่อการฟัตวา 10/220)


และมีระบุในฟัตวาคณะกรรมการถาวรฯ เช่นเดียวกันว่า:

"ส่วนสตรีมีครรภ์นั้น จำเป็นที่นางต้องถือศีลอดในขณะที่นางตั้งครรภ์ เว้นแต่ว่านางจะกลัวว่าการถือศีลอดจะทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเอง หรือต่อลูกในครรภ์ ก็อนุโลมให้นางละศีลอดได้ โดยจำเป็นที่นางต้องถือศีลอดชดหลังจากที่นางคลอดบุตร และพ้นช่วงนิฟาสแล้ว...
ส่วนการบริจาคอาหารแทนการถือศีลอดนั้นถือว่าใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องถือศีลอดเท่านั้น" (หนังสือฟัตวาฯ 10/226)


เชคอิบนุอุษัยมีน กล่าวใน อัชชัรหุลมุมติอฺ (6/220) หลังจากที่ท่านยกทัศนะต่างๆของอุละมาอ์ในประเด็นนี้ และเลือกให้น้ำหนักทัศนะที่เห็นว่าจำเป็นต้องถือศีลอดชดเท่านั้น ว่า:

"และสำหรับข้าพเจ้า ทัศนะนี้ คือทัศนะที่มีน้ำหนักมากที่สุดจากทัศนะต่างๆ เพราะสภาพของนางทั้งสองนั้นไม่ต่างอะไรจากคนป่วย หรือผู้เดินทาง จึงจำเป็นที่นางทั้งสองต้องถือศีลอดชดเท่านั้น"

วัลลอฮุอะลัม

ที่มา : www.islamqa.com/ar/ref/49794

 

 



(31) - ละศีลอดก่อนเวลาเพราะเข้าใจผิด

ถาม : พวกเราได้ทำการละศีลอดเมื่อได้ยินเสียงอะซานจากมัสยิด เมื่อเวลาผ่านไป 7 นาที เรากลับได้ยินเสียงอะซานอีกครั้งจากอีกมัสยิดหนึ่ง เมื่อทำการสอบถามผู้ที่ทำการอะซานครั้งแรก ปรากฎว่า เขาอะซานก่อนเวลา เพราะเข้าใจผิดคิดว่าได้เวลาแล้ว ไม่ทราบว่าในกรณีเช่นนั้นเราต้องทำอย่างไร?

ตอบ : ผู้ใดละศีลอดโดยที่คิดว่าได้เวลาแล้ว แต่เมื่อละไปแล้วปรากฎว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้านั้น จำเป็นที่เขาต้องถือใช้ ตามทัศนะของญุมฮูรฺ (อุละมาอ์ส่วนใหญ่)

ท่านอิบนุกุดามะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวในหนังสือ อัลมุฆนียฺ (4/389) ว่า :
      "นี่คือทัศนะของอุละมาอ์ส่วนใหญ่ จากบรรดาอุละมาอ์ฟิกฮฺ            และกลุ่มอื่นๆ"
 
คณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการและฟัตวา ประเทศซาอุฯ ได้ตอบคำถามนี้ว่า :

"หากเขาแน่ใจ หรือค่อนข้างแน่ใจ หรือ สงสัยว่าการละศีลอดของเขานั้นเป็นไปก่อนดวงอาทิตย์ตก เช่นนี้ก็จำเป็นที่เขาต้องเกาะฎอ (ถือศีลอดชด)" (ฟัตวาคณะกรรมการถาวรฯ เล่ม 10 หน้า 288)

และในประเด็นนี้ เชคบินบาซ ได้ตอบว่า :

"ในกรณีเช่นนี้ จำเป็นที่เขาต้องหยุดทานจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และต้องถือชดตามทัศนะของอุละมาอฺส่วนใหญ่ และจะไม่เป็นบาปแต่อย่างใด หากว่าเขานั้นได้ละศีลอดโดยที่เขาพยายามดูแล้วว่า ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าหรือยัง?"(ฟัตวาเชคบินบาซ ในหนังสือรวมเล่มฟัตวาของท่าน เล่ม 15 หน้า 288)

แต่ก็มีอุละมาอ์บางท่านเห็นว่าการถือศีลอดของเขานั้นถือว่าใช้ได้ และไม่จำเป็นต้องถือใช้ ซึ่งทัศนะนี้เป็นของมุญาฮิด,หะสัน อัลบัศรียฺ,อิสหาก,รายงานหนึ่งจากอะหฺมัด,อัลมุซะนียฺ,อิบนุ คุซัยมะฮฺ และเป็นทัศนะที่ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมิยะฮฺ และเชคอิบนุ อุษัยมีน เห็นว่ามีน้ำหนักมากกว่า (ดู ฟัตหุลบารียฺ 4/200,มัจญฺมูอฺฟะตาวาอิบนฺตัยมิยะฮฺ 25/231 และ อัชชัรฺหุล มุมติอฺ 6/402-408)

โดยหลักฐานของทัศนะนี้คือ หะดีษจากฮิชาม บิน อุรฺวะฮฺ จาก ฟาฏิมะฮฺ จาก อัสมาอ์ บินติ อบี บักรฺ กล่าวว่า :

أَفْطَرْنَا عَلَى عَهْدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَوْمَ غَيْمٍ ثُمَّ طَلَعَتْ الشَّمْسُ . قِيلَ لِهِشَامٍ : فَأُمِرُوا بِالْقَضَاءِ ؟ قَالَ : لا بُدَّ مِنْ قَضَاءٍ . وَقَالَ مَعْمَرٌ : سَمِعْتُ هِشَامًا يقول : لا أَدْرِي أَقَضَوْا أَمْ لا ؟


"ในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เราเคยละศีลอดในวันที่มืดมิดเพราะมีเมฆฝน หลังจากนั้นปรากฎว่า เราเห็นดวงอาทิตย์ยังคงอยู่" มีคนหนึ่งถามฮิชาม (หนึ่งในสายรายงาน) ขึ้นมาว่า "พวกเขาถูกใช้ให้ถือศีลอดชดหรือเปล่า?" ฮิชามตอบว่า "ต้องถือชดแน่นอนอยู่แล้ว" มะอฺมัรฺ กล่าวว่า "ฉันได้ยินฮิชามพูดว่า : ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเขาถือใช้หรือไม่?" บันทึกโดย บุคอรี (1959)

คำพูดของฮิชามที่ว่า "ต้องถือใช้แน่นอนอยู่แล้ว" นั้นเป็นการกล่าวโดยการอิจญฺติฮาด (ใช้ความรู้ที่มีตัดสิน) ของท่านเอง โดยท่านไม่ได้บอกว่า "ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ใช้ให้พวกเขาถือชด" แต่อย่างใด

ดังนั้น ท่านอิบนุ หะญัรฺ จึงได้กล่าวว่า  : "ส่วนหะดีษอัสมาอ์นั้น ไม่มีการรายงานว่ามีการใช้ให้ถือชด หรือปฏิเสธการถือชดแต่อย่างใด"
เชคอิบนุ อุษัยมีน ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า :

"พวกเขาละศีลอดเนื่องจากเข้าใจว่าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ไม่ได้ใช้ให้พวกเขาถือชด หากว่าจำเป็นต้องถือชด ก็แสดงว่าเป็นบทบัญญัติของอัลลอฮฺ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะได้รับการรายงาน แต่เมื่อไม่มีการรายงานว่าท่านใช้ให้ชด เราก็ไม่จำเป็นต้องถือชดแต่อย่างใด" (อัชชัรฺหุล มุมติอฺ 4/402)


ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺ กล่าวว่า :

"สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องถือศีลอดชดแต่อย่างใด เพราะหากว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมใช้ให้พวกเขาถือชด แน่นอนว่าจะต้องเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป และต้องมีการรายงานเช่นดังเรื่องที่ พวกเขาละศีลอด และเมื่อไม่มีการรายงาน นั่นแสดงว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้ใช้ให้พวกเขาถือชดแต่อย่างใด หากมีคนถามขึ้นมาว่า แล้วที่ฮิชามกล่าวว่า (ต้องถือใช้แน่นอนอยู่แล้ว) ล่ะ จะว่าอย่างไร? คำตอบคือ ท่านฮิชามกล่าวไปโดยการอิจญฺติฮาดของท่านเอง ไม่ได้มีกล่าวไว้ในหะดีษแต่อย่างใด และสิ่งที่ยืนยันว่าฮิชามไม่รู้ว่าท่านนบีใช้ให้ถือชดหรือไม่ ก็คือ คำพูดของมะอฺมัรฺที่ว่า (ฉันได้ยินฮิชามกล่าวว่า : ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาถือชดหรือเปล่า?) ตามการบันทึกของบุคอรี ซึ่งตัวท่านฮิชามเองก็ได้เล่าจากอุรฺวะฮฺ บิดาของท่านว่า พวกเขาไม่ได้ถูกใช้ให้ถือศีลอดชดแต่อย่างใด ซึ่งท่านอุรฺวะฮฺย่อมรู้ดีกว่าฮิชามลูกของท่าน"  (มัจญฺมูอฺ อัลฟะตาวา 25/231)


ในกรณีเช่นนี้ เพื่อเป็นการปลอดภัยหากถือศีลอดชดก็จะเป็นการดี เพราะจริงๆแล้วการถือชดแค่วันเดียวก็ไม่ได้หนักหนาอะไร วัลหัมดุลิลลาฮฺ และก็ไม่ถือว่าเป็นบาปแต่อย่างใด กับสิ่งที่เกิดขึ้น

วัลลอฮุอะอฺลัม

ที่มา : www.islamqa.com/ar/ref/66155

 

 

 

 

 

 

 


(33) - การด่าทอและกล่าวคำผรุสวาทขณะถือศีลอด

ถาม : ในเดือนเราะมะฎอน หากคนๆหนึ่งพูดจาหยาบคายหรือด่าทอผู้อื่นเมื่อมีอารมณ์โกรธ เช่นนี้การถือศีลอดของเขาจะเสียไหม?

ตอบ : การกระทำดังกล่าวไม่ทำให้การถือศีลอดของเขาเป็นโมฆะ แต่มันจะทำให้ผลบุญลดน้อยลง ดังนั้น มุสลิมจึงพึงควบคุมสติ ควบคุมอารมณ์ และระวังรักษาวาจาคำพูด ให้ห่างไกลจากการด่าทอสาปแช่ง และผรุสวาจาต่างๆ การนินทาว่าร้าย หรือยุยงปลุกปั่นให้ผู้คนบาดหมางกัน รวมไปถึงคำพูดที่ไม่ดีทั้งหลายที่หะรอมต้องห้ามไม่ว่าจะขณะถือศีลอดหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ ในขณะถือศีลอด ยิ่งต้องควบคุมตนเองเพื่อให้การถือศีลอดนั้นสมบูรณ์ที่สุด และปราศจากการทำร้ายผู้อื่น หรือการแสดงพฤติกรรมอันเป็นบ่อเกิดแห่งฟิตนะฮฺความวุ่นวายหรือการทะเลาะเบาะแว้ง ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:

 
فإذا كان يوم صوم أحدكم فلا يرفث يومئذ ولا يسخب ، فإن سابّه أحد أو قاتله فليقل إني امرؤ صائم

"และในวันที่คนหนึ่งคนใดในหมู่ท่านถือศีลอด เขาก็อย่าได้กล่าวคำพูดที่ไม่ดีหรือคำพูดที่หยายคายออกมา หากมีใครด่าว่าเขาหรือชวนวิวาท เขาก็จงกล่าวแต่เพียงว่า : ฉันกำลังถือศีลอด"

(ฟัตวาคณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการและการฟัตวา ซาอุฯ เลขที่ 7825 เล่มที่ 10 หน้า 322)

http://islamtoday.net/fatawa/quesshow-60-1644.htm

 

ดาวน์โหลดฉบับรวมเล่มได้ที่

http://www.islamhouse.com/p/230570

 

 




--
Wansalma Useng
Chemical Engineering Dept
Universiti Teknologi PETRONAS

Malaysia Tel: 014-9050680
Thai Tel: 081-4782079

------------------(^o^)V------------------------


niengineer1

unread,
Aug 10, 2011, 3:28:37 AM8/10/11
to an-...@googlegroups.com
thank for sharing kah :D


2011/8/10 Salma Useng <useng...@gmail.com>
...

[Message clipped]  



--
noonik

dayutp

unread,
Aug 10, 2011, 3:56:24 PM8/10/11
to an-...@googlegroups.com
thx for sharing

2011/8/10 niengineer1 <nieng...@gmail.com>



--
"Allah won't appreciate your outer appearance and your wealth, but what's in your heart and your deeds." -Muslim-

• From those around .....• I hear a cry
• A hopeless sigh.......... • I hear their footsteps leaving slow
• And then I know my soul must fly....• A chilly wind begins to blow
• Within my soul, from head to toe....• And then, last breath escaped my lips
• It’s time to leave. And I must go.....• So, it is true
• But it’s too late......• They said: each soul has its given date
• When it must leave, its body’ core...• And meet with its eternal fate

อย่าให้รอมฎอนเป็นแค่ผู้ที่ผ่านมาแล้วจากไป โดยที่เราไม่ได้อะไรจากมันเลย รอมฎอนนี้อาจเป็นรอมฎอนสุดท้ายของเรา รู้ทั้งรู้ว่ามีค่ามากมาย แต่ไม่สามารถลิ้มรสถึงคุณค่าของมันได้


Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages