Mini Review - XYZ Da Vinci 3D Printer ราคาโดนใจ แต่การใช้งานยังขัดใจ

459 views
Skip to first unread message

DDD

unread,
Oct 2, 2014, 4:36:55 AM10/2/14
to

ตัวเครื่อง

ต้องบอกเลยครับ ว่าเห็นแวบแรก ไม่คิดว่าราคามันจะต่ำกว่า 20,000บาท เมื่อเทียบกับเครื่อง 3D Printer ยี่ห้ออื่น ที่ขนาดใกล้เคียงกัน เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่งในราคานี้เลยครับ วัสดุเป็นพลาสติกฉีดคุณภาพดี เหมือนอุปกรณ์อิเล็คทริอนิกส์ที่มีตามบ้าน ตัวเครื่องใหญ่มาก น้ำหนักนี้ราว 30กว่ากิโลกรัมได้ หน้าจอ ขาวดำ กับปุ่มควบคุม แบบง่ายๆไม่มีอะไรหวือหวา ด้านซ้ายหลังของตัวเครื่อง เป็นที่เสียบปลั๊กพร้อมสวิตช์เปิดปิด และช่องเสียบ USB ฝาบนหลังและฝาหน้า สามารถเปิดออกได้ ช่องเสียบตลับเส้นพลาสติก ใส่ทางด้านหลัง โดยเปิดฝาบนหลังขึ้น มีช่องเสียบ micro SD Card แต่ไม่ได้ให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ เพราะต้องเปิดฝาด้านหลัง เพื่อเข้าถึงบอร์ดควบคุมที่มีช่อง micro SD Card ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไหม ต้องกั๊กไม่ให้ใช้งาน

หัวฉีดและฐานการสร้างงาน

เมื่อมองเข้าไปด้านใน เราจะเห็นว่าพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง ตัวฐานมีพื้นที่กว้างยาว 20x20cm และหัวฉีด สามารถกดตัวปลดล็อค ถอดออกมาได้ไม่ยาก จากที่ดูแล้ว ด้านในของท่อหัวฉีดไม่มีการใช้ท่อ Teflon มาช่วย และการระบายความร้อนยังทำไม่ได้พอ จึงเน้นให้ปริ๊นพลาสติก ABS ได้อย่างเดียว พอลองใช้ PLA แล้ว ติดทันที เห็นที่เมืองนอก ต้องโมหัวฉีดโดยติดตั้งพัดลมเพิ่มเติมและติด heat sink ช่วย ก็จะปริ๊นได้ ด้านขวาจะมีถังพลาสติกขนาดใหญ่ พร้อมแง่งเหล็กที่ยื่นขึ้นเพื่อปัดเศษพลาสติก ออกจากหัวฉีด เวลาวิ่งเข้า home หรือ จะเริ่มปริ๊น หัวฉีดจะวิ่งปัดหน้าหลัง ซ้ายขวา แต่เสียงมันดัง ก็อกแก็กน่ารำคาญอยู่เหมือนกัน แถมหลายครั้งปัดพลาสติกไม่ออกอีกด้วย  

ซอพแวร์

โปรแกรมที่ใช้กับเครื่องตัวนี้มีชื่อว่า XYZWare เมื่อเปิดขึ้นมา ไม่มีอะไรซับซ้อน ทุกอย่างพรีเซ็ทให้มาหมด เพียงแค่เลือกค่าที่มีอยู่ในเมนูเท่านั้น ในส่วนของ Quality เมื่อเลือกสูงสุดเป็น excellent ค่าที่ตั้งจะเป็น 0.2mm layer height และ infill 30% ไม่รู้ว่าทำไหม ไม่เป็น 0.1mm แต่ก็สามารถเลือกได้เองในเมนู ส่วน Shell ก็จะระบุเป็นเพียงแค่ thin normal thick ส่วน Infill ก็จะมี hollow small medium large solid และส่วนของ speed ก็จะเป็น slow normal fast เมื่อทำการเลือกค่าเสร็จ ก็กดปริ๊น โปรแกรมจะโชว์หน้าต่างว่าต้องเชื่อมต่อกับเครื่อง 3D Printer พอเสียบสายต่อกับ 3D printer รอโอนข้อมูลเข้าไปเก็บใน micro SD Card ด้านหลัง พอเครื่องเริ่มวิ่ง เราก็ถอดสาย USB ออกได้เลย

การปรับฐาน

การปรับฐานและระยะห่าง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของ 3D printer ว่าจะปริ๊นสำเร็จหรือไม่ โดยตัว Da Vinci มาพร้อมกับ Probe ที่ตรงหัวฉีด ไว้วัดระยะห่าง โดยเราสามารถเลือกไปที่ เมนู Calibration แล้วเครื่องจะวิ่งไปที่มุมสามจุด  หลังขวา หน้าขวา และหน้าซ้าย โดยเมื่อวัดเสร็จ จะแจ้งบนหน้าจอว่า ระยะแต่ละจุดอยู่ที่เท่าไร ถ้าทั้งสามตัวเลขมีค่าห่างกันเยอะ ก็จะ fail ไม่ผ่าน ต้องทำใหม่โดยหมุนน็อตเพื่อปรับสปริงให้ฐานสูงขึ้นหรือต่ำลง แต่ตัวปรับนี้ ต้องใช้นิ้วรูดเอา เพราะพื้นที่เล็กมาก ไม่สามารถใช้สองนิ้วจับหมุนได้ เล่นเอาเจ็บนิ้วกันทีเดียว กว่าจะปรับได้ค่าที่ผ่าน เพราะเราไม่รู้เลยว่าค่ามันอยู่ที่เท่าไร ต้องกด Calibration อีกที ให้มันวัดแล้วแจ้งค่าที่เปลี่ยน เหมือนต้องเดาเอาเอง ว่าเราหมุนน็อตเท่านี้ มันจะคร่าวๆลดเพิ่มเท่าไร เหมือนเล่นเกมส์หาค่าความน่าจะเป็น เอาเป็นว่า กว่าจะได้จุดที่ผ่าน ก็ต้อง Calibration กันหลายรอบ ที่สำคัญ เวลา Calibration แต่ละที มันก็ต้องทำความร้อนหัวฉีดและฐานทุกครั้ง เรียกได้ว่า เสียเวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะทำได้ (ขนาดผมว่าผมก็ผ่านเครื่อง 3D Printer มาระดับหนึ่งแล้ว ยังต้องเกาหัวเลย ตอนตั้งค่าเครื่องนี้) 

ข้อจำกัดในการใช้งาน

หลักการเดียวกับเครื่องปริ๊นหมึก ขายเครื่องถูกแต่เน้นรายได้หลักจากการขายวัสดุสิ้นเปลืองแทน ซึ่ง Da Vinci ก็เดินตามรอยนี้เช่นกัน ตลับเส้นขนาด 700g ขายอยู่ที่ราคา 1,350บาท มีให้เลือกอยู่ราว 5สี (ณ ตอนนี้) เป็นชนิด ABS อย่างเดียว ตัวชิปที่ติดตั้งอยู่บนตลับ มีเก็บข้อมูลอุณหภูมิที่ใช้ในการปริ๊นและฐานความร้อนไว้หมด ซึ่งหมายความว่า ถ้าเราแอบไปใช้เส้นข้างนอกมาใส่ ก็ปรับอุณหภูมิหัวฉีดให้เหมาะสมกับวัสดุนั้นไม่ได้ อย่างที่สองก็คือ Firmware ของเครื่องก็เป็นแบบปิด เข้าไปแก้ไขอะไรไม่ได้ และ ซอพแวร์ก็ยังใช้สร้างคำสั่ง Gcode เป็นนามสกุลเฉพาะของเครื่อง .3W ซึ่งถูก encrypt ไว้ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขคำสั่ง Gcode ได้ เหมือนถูกบังคับต้องใช้ทุกอย่างที่ทำออกจากบริษัทเท่านั้น ถ้าต้องการก้าวพ้นข้อจำกัดนี้ ก็คือต้อง Flash firmware ของ Marlin ที่เป็น open source เข้าไปแทนที่ เลย แต่ก็จะหมดประกันเช่นกัน และล่าสุดทางโรงงานก็ได้เอาปุ่มรีเซ็ตบนบอร์ดออกไปด้วย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการ reset บอร์ดเพื่อลงเฟริมแวร์ใหม่ (แต่ก็ยังทำได้ถ้ารู้เรื่องวงจร) นอกจากนี้ ในส่วนของตลับเส้น ก็มีคนคิดตัวหลอกชิบออกมาให้ใช้เส้นยี่ห้ออื่นได้ แต่ล่าสุด Firmware ตัวใหม่ มีการอิงค่า serial # บนตลับด้วย เรียกได้ว่า โรงงานก็ไล่แก้ คนทำก็หาทางไปต่อ เช่นเดียวกับ jailbreak iphone  ประมาณนั้น ซึ่งจากเครื่องที่เน้นให้ใช้ง่าย สำหรับมือใหม่ ถ้าต้องไปหาวิธีทำเหล่านี้ มันจะกลายเป็นเครื่องที่ใช้สำหรับผู้เชียวชาญเท่านั้น ที่ต้องรู้เรื่องทั้งฮาดแวร์และซอพแวร์ 


คุณภาพงาน

อันนี้ต้องบอกเลยว่า ไม่รู้จริงๆว่าทำไหมมันปริ๊นออกมาไม่ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใช้เส้นของบริษัทอื่น หรือ ตั้งค่าไม่ดี หรือ เครื่องมีปัญหา เพราะปริ๊นออกมาแล้วมันสู้เครื่องอื่นไม่ได้เลย แม้จะใช้เส้นพลาสติกเดียวกัน ความละเอียดเซ็ตเท่ากัน และค่าอื่นๆให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด แต่งานออกมาแล้ว เห็นเป็นชั้นอย่างชัดเจน และจะเห็นได้ว่า แต่ละเลเยอร์ ไม่ขนานกัน ทำให้เห็นเป็นขั้นกระได รูปที่ 1) ซ้าย Da Vinci ที่ 0.2mm vs Mbot ที่ 0.2mm / รุปที่ 2) Da Vinci ที่ 0.1mm / รูปที่ 3) ซ้าย Da Vinci ที่ 0.1mm vs Da Vinci ที่ 0.2mm เดาว่าน่าจะเป็นการแกว่งของแกน Z ที่ยึดด้านล่างไว้แต่ปล่อยด้านบนโล่ง ทำให้การขยับระยะไม่ตรงตามที่ควรจะเป็น

สรุป

ข้อดี

- ราคาถูก

- ตัวเครื่องแข็งแรง 

- สเปกเครื่องมาครบ ฐานความร้อน ตัวปรับระยะแบบ build-in ตัวกล่องและตัวปัดเศษพลาสติกที่หัวฉีด  

- ซอพแวร์ใช้งานง่าย เพียงแค่เลือกค่าที่ตั้งมาให้แล้ว ก็กดปริ๊นได้เลย เพราะอุณหภูมิต่างๆถูกกำหนดมาพร้อมตลับเส้นพลาสติก จึงไม่ต้องห่วงว่าต้องปริ๊นที่อุณหภูมิเท่าไร

- มีตัวแทนจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ ดังนั้นอะไหล่และการซ่อมไม่ต้องห่วง 

ข้อเสีย

- ต้องใช้ตลับเส้นและซอพแวร์ของบริษัทเท่านั้น

- ต้นทุนระยะยาวจะสูงกว่าถ้าปริ๊นเยอะ รวมถึงการซ่อมแซมดูแลจะทำได้เองยาก เพราะหลายชิ้นส่วนหาซื้อมาเปลี่ยนเองไม่ได้

- คุณภาพงานปริ๊นไม่ดี เมื่อเทียบกับเครื่องตัวอื่น

- ต้องต่อคอมพ์เมื่อต้องการปริ๊นเท่านั้น 

 

เครื่องตัวนี้คงเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นปริ๊นงานชิ้นส่วนที่ไม่ต้องเป๊ะมาก ในงบที่จำกัด และไม่ต้องเรียนรู้เยอะ ส่วนใครที่ต้องการเน้นงานละเอียดหน่อย คงต้องมองหาเครื่องอื่นแทนครับ


Review By DDD-Solution @ Oct 2014



Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages