นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ชี้แจงว่า จากกรณีมีข่าวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบางส่วนถูกหักค่าชุดทำงาน ค่าเช่าห้อง ถูกนายจ้างยึดบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อเป็นหลักประกันการทำงานนั้น นายจ้างหรือสถานประกอบกิจการต่างๆ ไม่สามารถนำค่าใช้จ่ายใดๆ มาหักจากค่าจ้างของลูกจ้างได้
เนื่องจาก พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ได้กำหนดห้ามนายจ้างหักเงินค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดหรือค่าล่วงเวลาในวันหยุด เว้นแต่การหักเพื่อ
1. ชำระภาษีเงินได้ตามจำนวนที่ลูกจ้างต้องจ่ายหรือชำระเงินอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้
2. ชำระค่าบำรุงสหภาพแรงงานตามข้อบังคับของสหภาพแรงงาน
3. ชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือสหกรณ์อื่นที่มีลักษณะเดียวกันกับ
สหกรณ์ออมทรัพย์หรือหนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่
ลูกจ้างฝ่ายเดียวโดยได้รับความยินยอมล่วงหน้าจากลูกจ้าง
4. เป็นเงินประกันตามมาตรา 10 หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจ้างซึ่ง
ลูกจ้างได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยได้รับ
ความยินยอมจากลูกจ้าง
5. เป็นเงินสะสมตามข้อตกลงเกี่ยวกับกองทุนเงินสะสม
การหักเงินจากลูกจ้างทั้ง 5 ประเภท ที่กล่าวข้างต้นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าจ้าง ที่ลูกจ้างได้รับ และต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเท่านั้น จึงจะหักเงินทั้ง 5 ประเภทดังกล่าวข้างต้นได้ การที่นายจ้างนำหนี้อื่นมาหักจากค่าจ้าง มีโทษตามมาตรา 144 จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อธิบดี กสร. ชี้แจงเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีที่ลูกจ้างถูกนายจ้างยึดบัตรประจำตัวประชาชนไว้ โดยเฉพาะตำแหน่งพนักงานรักษาความปลอดภัยถือว่านายจ้างมีความผิด เพราะนายจ้างไม่สามารถยึดบัตรประชาชนใช้เป็นหลักประกันการทำงานได้
เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ให้นายจ้างเรียกหลักประกันการทำงานจากลูกจ้างได้ 3 ประเภท คือ เงินสด ทรัพย์สิน และการค้ำประกันด้วยบุคคล ซึ่งการเรียกหลักประกันจะต้องไม่เกินวงเงิน 60 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันที่ลูกจ้างได้รับ การที่นายจ้างยึดบัตรประชาชนไว้เป็นหลักประกันการทำงาน หรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง ขัดต่อหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานประกาศกำหนด มีโทษตามมาตรา 144 จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขอขอบคุณแหล่งข่าว สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์